รวมทุกคำตอบที่หลายคนสงสัย! พาทำความรู้จักกับ ฉีดโบท็อกซ์กราม คืออะไร ใครบ้างที่ควรฉีด และใช้เวลากี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์เข้าที่

เลือกอ่านตามหัวข้อ
หลักการทำงานของโบท็อกซ์ ช่วยลดกรามได้อย่างไร ?
โบท็อกซ์กราม เหมาะกับใครบ้าง ?
โบท็อกซ์กรามต้องฉีดกี่ยูนิต ?
หลังฉีดโบท็อกซ์กราม กี่วันถึงจะหายบวม ?
ฉีดโบท็อกซ์กรามอันตรายไหม ?
ระหว่างการฉีดโบท็อกซ์ เจ็บมากไหม ?
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ?
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามกี่วัน ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่สวยอย่างชัดเจนที่สุด ?
โบท็อกซ์กราม อยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์กราม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและอยู่ได้นานขึ้น
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สำหรับชาวซิสที่อยากปรับรูปหน้าให้หน้าเรียวยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีการ ฉีดโบท็อกซ์กราม แต่ก็กังวลว่าหลังเข้ารับบริการต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ กว่าจะหายบวมหรือตึงที่บริเวณกราม ซึ่งถือเป็นอาการที่พบได้บ่อย และเป็นอาการปกติจากการฉีด อีกทั้งยังสงสัยว่าผลลัพธ์จะแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อไหร่ กว่าหน้าจะเซตรูปเรียวสวยนั้นต้องรออีกนานแค่ไหน บทความวันนี้ SistaCafe จะมาไขข้อสงสัยและตอบข้อเท็จจริงทั้งหมดของการ ฉีดโบท็อกลดกราม นานไหมกว่าจะหายบวม ใช้เวลากี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์สวย ชัดเจนที่สุด
หลักการทำงานของโบท็อกซ์ ช่วยลดกรามได้อย่างไร ?
การฉีดโบท็อกซ์ คือ การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซินเป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสติริเดียม ซึ่งตัวสารดังกล่าวจะเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทที่มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนกรามมีความอ่อนแรงลง และค่อยๆ เริ่มหดตัวจนเล็กลงในที่สุด ส่งผลให้หลังฉีดกล้ามเนื้อกรามจะค่อยๆ มีขนาดที่เล็กลง และทำให้ใบหน้าเรียวเข้ารูปมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

โบท็อกซ์กราม เหมาะกับใครบ้าง ?
การฉีดโบท็อกซ์กรามนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่า จะต้องเหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามให้มีขนาดที่เล็กลงแบบชั่วคราวแทนการผ่าตัดศัลยกรรม ซึ่งหลังโบท็อกซ์จะมีอายุการเห็นผลประมาณ 12-18 เดือน โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 1-2 เดือนหลังฉีด
โบท็อกซ์กรามต้องฉีดกี่ยูนิต ?
ในส่วนของปริมาณในการใช้ฉีดโบท็อกซ์กรามนั้นจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผู้ฉีดว่าควรจะใช้ปริมาณอยู่ที่กี่ยูนิต แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้อยู่ประมาณ 100 ยูนิตขึ้นไปจึงจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนนั่นเอง

หลังฉีดโบท็อกซ์กราม กี่วันถึงจะหายบวม ?
โบท็อกซ์ลดกราม บวมนานไหม ? ตอบตรงนี้เลยว่า อาการผลข้างเคียงที่ปกติจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากมีอาการหายใจติดขัด ปวดศีรษะ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง ควรเข้าพบแพทย์ทันทีนะคะ
สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ หรือฉีดโบทูลินั่มท็อกซินเข้าไปในบริเวณกรามนั้นมีความปลอดภัยสูง ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ต้องดูแลรักษาแผล เพราะไม่ใช่การศัลยกรรมผ่าตัด แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหลังเข้ารับบริการทันทีอาจมีอาการข้างเคียงที่พบได้ปกติ นั่นก็คือ อาการบวมเข็ม ก็จะค่อยๆ ยุบและหายบวมในที่สุดภายใน 5 - 14 วัน ซึ่งในบางรายอาจมีความบวมมากหรือน้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณยาและยี่ห้อที่ใช้ฉีดนะคะ
ฉีดโบท็อกซ์กรามอันตรายไหม ?
หลายคนอาจจะมีความกังวลว่าถ้าฉีดโบท็อกซ์กรามไปแล้วจะอันตรายไหม เพราะหลักการทำงานของโบท็อกซ์ คือการไปรบกวนระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ซึ่งก็ต้องตอบเลยค่ะว่าไม่ต้องกังวลใจไปน้า เพราะเป็นการรบกวนเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปตัวยาโบท็อกเริ่มค่อยๆ หมดฤทธิ์กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ
นอกจากนั้นยังยาโบท็อกซ์ของแท้หลายยี่ห้อก็ได้มีการรองรับความปลอดภัยทั้งทางอย.ของไทยและอเมริกา พร้อมกับมีงานวิจัยรองรับความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงควรเลือกฉีดด้วยโบท็อกของแท้ที่มีอย. รองรับเท่านั้น ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์ที่หมดอายุอย่างเด็ดขาด เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงเช่น หน้าเบี้ยว รวมไปถึงการดื้อยาขึ้นได้นั่นเอง

ระหว่างการฉีดโบท็อกซ์ เจ็บมากไหม ?
ในระหว่างที่ทำการฉีดโบท็อกซ์นั้นอาจมีความรู้สึกเจ็บขึ้นได้ในขณะที่แพทย์ทำการเริ่มฉีดและเดินยาเข้าสู่กล้ามเนื้อ ซึ่งถือเป็นความเจ็บในระดับที่สามารถทนได้ เนื่องจากก่อนฉีดแพทย์จะมีการใช้การประคบเย็นให้ผิวบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์เกิดความชาก่อนลงเข็มอยู่แล้ว นอกจากนั้นหากเพื่อนๆ คนไหนที่กลัวเจ็บมากๆ สามารถขอรับการแปะยาชาก่อนฉีดจากแพทย์ได้นะคะ
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ?
เมื่ออธิบายถึงอาการบวม ที่เกิดจากการแพ้โบท็อกซ์กันไปแล้ว ฉะนั้นแล้วมาเช็กเพื่อความชัวร์กันหน่อยดีกว่าว่า เราเข้าข่ายไม่เหมาะที่จะฉีดโบท็อกซ์ลดกรามหรือไม่ เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการบวม ซึ่งเป็นผลมาจากอาการไม่พึงประสงค์นั่นเองค่ะ
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน อย่างรุนแรง
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือเลือดหยุดช้า
- ผู้ที่กำลังรับประทานยาจำพวก ยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อ หรือเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง



อันดับบทความประจำวัน
(หมวดความงาม)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe