ตัวเลือกให้ผิวสุขภาพดีแบบได้ผลลัพธ์แบบทันใจ นอกจากการเลเซอร์ผิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินแล้วยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือ การฉีดวิตามินผิว นั่นเอง

เลือกอ่านตามหัวข้อ
ฉีดวิตามินทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่
ฉีดวิตามินผิวหน้า VS ผิวกาย แตกต่างกันอย่างไร
ฉีดวิตามินผิว กี่วันเห็นผล
ฉีดวิตามินผิว ให้ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวรหรือไม่?
ฉีดวิตามินผิวมีกี่สูตร อะไรบ้าง
การฉีดวิตามินผิวมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
อันตรายจากการฉีดวิตามินผิวบ่อยเกินไป มีอะไรบ้าง
ฉีดวิตามินผิว เหมาะ/ไม่เหมาะกับใคร
ฉีดวิตามินผิว เลือกแบบไหนดี
ก่อนฉีดวิตามินผิว ต้องเตรียมตัวอย่างไร
เปิด 4 ขั้นตอนการฉีดวิตามินผิว
ฉีดวิตามินผิวตอนทำเจ็บไหม
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจหัตถการอย่างการฉีดวิตามินผิว เพื่อฟื้นฟูผิวหน้าและผิวกายที่กำลังเจอกับปัญหาผิวอยู่ เราแนะนำให้มาอ่านบทความนี้ก่อนดีกว่าค่ะ จะได้รู้ว่า ฉีดวิตามินผิว ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ? ฉีดผิวหน้าและผิวกาย เลือกแบบไหนให้ผลลัพธ์ดีสุด ?
ไขข้อสงสัย! การฉีดวิตามินผิว คือ... การฉีดตัววิตามินต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าไปในร่างกายผ่านทางเส้นเลือด เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามิน แล้วนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลได้ไวกว่าการทาน โดยตัววิตามินที่ถูกใช้ในการฉีดผิวส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินบี 3, แมกนีเซียม และคอลลาเจนเป็นต้น
การฉีดวิตามินผิว สามารถแก้ปัญหาดังนี้
☀ ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ และทำให้ผิวกระจ่างใสจากภายในสู่ภายนอก
☀ เสริมคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพให้มีมากขึ้นและทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
☀ เพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินที่ร่างกาย ณ ตอนนั้นขาด เช่น วิตามินซี หรือวิตามินบี เป็นต้น
☀ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วย หรือต่อต้านการติดเชื้อ เนื่องจากร่างกายได้รับวิตามินที่ขาดแล้ว
☀ กระตุ้นการต้านสารอนุมูลอิสระ ที่อาจพัฒนาไปเป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ เช่น จอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น
ฉีดวิตามินทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่
การฉีดวิตามินผิวขาว นั้นสามารถช่วยปรับสีผิวที่คล้ำให้ขาวกระจ่างใสขึ้นได้ดี แต่ทั้งนี้ปัจจัยของความหมองคล้ำจะต้องมาจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ที่ไม่ใช่ปัจจัยทางพันธุกรรม นอกจากนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับวิตามินที่ฉีดเข้าไปอีกด้วยโดยหากต้องการฉีดวิตามินที่ช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใสขึ้นนั้น ก็ควรเลือกฉีดด้วย วิตามินซี และ วิตามินบี 3 ที่มีส่วนช่วยในการปรับลดเม็ดสีเมลานินให้ผิว ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
การฉีดวิตามินผิว ไม่อันตราย เพราะสิ่งที่ฉีดเข้าไปคือ สารสกัดธรรมชาติ และวิตามินที่จำเป็นต่อผิวและร่างกาย
หากเกิดอันตรายขึ้นจากการฉีดวิตามินผิว ส่วนมากมักเกิดมาจากการเลือกเข้ารับบริการคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย และสารที่ฉีดเข้าไปอาจเป็นสารแปลกปลอม เป็นอันตรายต่อผิว และร่างกายนั่นเอง
ฉีดวิตามินผิวหน้า VS ผิวกาย แตกต่างกันอย่างไร
การฉีดวิตามินผิว มี 2 แบบ คือ ฉีดวิตามินผิวหน้า และฉีดวิตามินผิวด้วยสายน้ำเกลือที่บริเวณผิวกาย แน่นอนว่ามีความแตกต่างกัน ทั้งกรรมวิธีในการฉีด วิตามินที่เลือกใช้ฉีด และผลลัพธ์การแก้ปัญหาที่ได้ ซึ่งจะมีข้อแตกต่างกัน ดังนี้
☀ ฉีดวิตามินผิวหน้า เป็นการใช้เข็มทางการแพทย์ฉีดส่งสารวิตามินลงไปที่ผิวหน้า ซึ่งจะเป็นวิตามินที่มาจากสารสกัดธรรมชาติ และสารกลุ่มมาเด้ (MADE) ได้แก่ คอลลาเจน, วิตามินซี, สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากวิตามินที่จำเป็นต่อผิวหน้า
☀ ฉีดวิตามินผิวหน้าแก้ปัญหาอะไร?
จากการฉีดสารกลุ่มมาเด้ ลงไปที่ชั้นผิวหนังบนใบหน้า ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าอ่อนแอ ผิวเป็นผื่นแพ้ง่าย ผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอย สิวอักเสบ เพื่อแก้ปัญหารอยสิว รอยดำ รอยแดง ฝ้ากระจุดด่างดำต่างๆ และช่วยแก้ปัญหาการขาดความสมดุลของน้ำมันใต้ผิวหน้าให้ผิวมีความอิ่มน้ำสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกมากยิ่งขึ้น
☀ ฉีดวิตามินผิวกาย เป็นการนำวิตามินและสารสกัดธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายด้วยสายน้ำเกลือ โดยสารดังกล่าวที่ฉีดนั้น จะเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ฉีดวิตามินซี หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid), ฉีดคอลลาเจน หรือฉีดกลูต้า เป็นต้น
☀ ฉีดวิตามินผิวกาย แก้ปัญหาอะไร?
การฉีดวิตามินผิวกาย ด้วยสายน้ำเกลือ เพื่อให้ผิวพรรณสุขภาพดี เรียบเนียน ชุ่มชื้น ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่าย และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้ค่อยๆ กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายของเราแข็งแรงยิ่งขึ้น

ฉีดวิตามินผิว กี่วันเห็นผล
ทันทีที่ฉีดวิตามินผิวเสร็จทันที จะเกิดรอยแดงจากเข็มฉีด และจะหายเองเป็นปกติ โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ แสดงออกแบบชัดเจนที่สุดในระยะเวลา 7 - 14 วัน หากต้องการรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำควรฉีดทุกสัปดาห์ และเดือนต่อไปอาจเว้นเป็นทุก 2 สัปดาห์
ฉีดวิตามินผิว ให้ผลลัพธ์อยู่ได้ถาวรหรือไม่?
การเติมวิตามินผิวด้วยการฉีด ไม่สามารถให้ผลลัพธ์คงอยู่ถาวร
หากต้องการให้ผลลัพธ์อยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งผิวภายนอกและสุขภาพภายในร่างกาย จำเป็นต้องฉีดอย่างสม่ำเสมอ ในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ถี่จนเกินไป และไม่เว้นระยะห่างจนมองไม่เห็นผลลัพธ์
โดยเฉลี่ยแล้วระยะเวลาที่จะเห็นผลอยู่ที่ประมาณ 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และระยะความถี่ในการฉีด สำหรับในครั้งแรกของการเริ่มฉีดวิตามินผิว อาจฉีดเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อสุขภาพผิวเริ่มดีขึ้น หรือสุขภาพร่างกายเริ่มถูกฟื้นฟู สามารถเว้นระยะการฉีดได้เป็นเดือนละ 1 ครั้ง

ฉีดวิตามินผิวมีกี่สูตร อะไรบ้าง
จริงๆ แล้ววิตามินผิวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายสูตร ขึ้นอยู่กับคลินิกที่เลือกรับบริการ ซึ่งแต่ละสูตรส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายที่อ่อนล้ามีกำลังมากขึ้น การบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และกระจ่างใส เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยดำ รอยแดง พร้อมช่วยฟื้นฟูเซลล์ให้แก่ร่างกาย เป็นต้น
การฉีดวิตามินผิวมีทั้งหมดกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
ถ้าจะให้พูดถึงวิธีการฉีดวิตามินผิวในตอนนี้ก็จะมีอยู่ทั้งหมด 2 แบบหลักๆ คือ 1. แบบที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายผ่านจุดข้อพับของแขน แบบนี้จะใช้เวลาที่รวดเร็วและจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียขึ้นได้ เนื่องจากเป็นการนำวิตามินที่เข้มข้นเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว กับแบบที่ 2. การนำเอาวิตามินไปผสมกับน้ำเกลือแล้วค่อยๆ ปล่อยให้วิตามินและนำเกลือเข้าสู่ร่างกายทีละนิด วิธีนี้จะใช้หลักการเดียวกันกับการให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เพียงแต่ในน้ำเกลือจะมีส่วนผสมของวิตามินร่วมด้วยนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้จะมีการใช้ระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 45-60 นาที
อันตรายจากการฉีดวิตามินผิวบ่อยเกินไป มีอะไรบ้าง
สำหรับใครที่ต้องการให้ผลลัพธ์ของวิตามินผิวมีประสิทธิภาพอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องทราบถึงความเหมาะสมในการฉีด เพราะหากฉีดบ่อยจนเกินไป ไม่มีการเว้นระยะเวลาอย่างเหมาะสม จะเกิดอันตรายต่อผิวและร่างกาย ดังนี้
☀ สีผิวเปลี่ยนสี กลายเป็นสีส้ม หรือผิวสีเหลือง
☀ ผิวหนังไวต่อแสง เสี่ยงผิวหมองคล้ำ ผิวไหม้ และแพ้ง่าย
☀ ระบบทางลำไส้แปรปรวน ปวดท้องหนัก ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน
☀ ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ เลือดออกทางเดินอาหาร หรือที่เรียกว่า ภาวะผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Bleeding) มักจะมีอาการ อาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด
☀ มีความผิดปกติที่กล้ามเนื้อ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
☀ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ระบบไหลเวียนเลือดและการสูบฉีดเลือดทำงานหนักเกินไป
☀ ปวดศีรษะ หรือเวียนศีรษะ
☀ ตาพร่ามัว หรือมีภาวะตาไวต่อแสง



อันดับบทความประจำวัน
(หมวดความงาม)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe