Articles etc
อื่น ๆ

#เด็กจบใหม่ต้องอ่าน! 📌 7 ทริคเขียน ' เรซูเม่ ( resume ) ' ฉบับมือโปร ให้ HR สนใจ แม้ไม่เคยมีประสบการณ์

ผ่านช่วงรับปริญญาไปแล้ว ตอนนี้เป็นสงครามของทั้งเด็กจบใหม่และวัยทำงานที่อยากเปลี่ยนสาย แต่บริษัทที่มีกลับปิดตัวลงเรื่อยๆ โควต้ารับงานมีจำกัด เธอจึงควรพรีเซนต์ตัวเองให้โดดเด่นผ่านด่านแรกอย่าง ' เรซูเม่ ' ให้ได้มากที่สุด ทำดีก่อน ก็ได้รับเลือกสัมก่อน!


» » - - » »
Sistacafe button sharefb
Down

เลือกอ่านตามหัวข้อ

  • [แสดง]
  • [ซ่อน]
    • 1. สรุปย่อ ' เป้าหมายในสายงาน ( personal statement ) ' ที่หัวกระดาษ

    • 2. เลือก ' รูปแบบ ( template ) ' ของเรซูเม่ ให้เหมาะกับสายงานนั้นๆ

    • 3. ใส่ใจกับตัวอักษร การสะกดคำศัพท์ ว่ามีพิมพ์ตกหล่น ถูกไวยากรณ์หรือไม่

    • 4. หัวข้อ ' ผลงานที่ได้รับ/ประสบการณ์ที่ผ่านมา ' ควรชัดเจน เข้าใจง่าย

    • 5. ในหัวข้อ ' การศึกษา/ทักษะที่มี ' ควรเป็นความสามารถที่วัดผลได้

    • 6. ถ้าไม่เคยไป ' ฝึกงานในสนามจริง ' เลย ควรไปสมัครหาประสบการณ์ก่อน

    • 7. เข้าคอร์สอบรมออนไลน์, เรียนเสริม, กิจกรรมเพื่อสังคม etc. จะยิ่งมีแต้มต่อ


    สวัสดีค่าา สาวๆ SistaCafe ที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ทุกคน

    งานรับปริญญาผ่านไปสักพักแล้ว ตอนนี้บัณฑิตจบใหม่หลายๆ คนน่าจะกำลังเริ่มหางาน ทยอยส่งเรซูเม่ในตำแหน่งรับสมัครที่สนใจ รอให้ HR โทรเรียกไปสัมภาษณ์ ซึ่งในสถานการณ์ปกติ เด็กจบใหม่ก็แทบจะเรียกว่าตบตีกันแย่งงานอยู่แล้ว ยิ่งช่วงโควิดที่หลายๆ บริษัทปิดตัวไป โควต้าตำแหน่งงานจำกัดมากขึ้น ก็ยิ่งต้องพยายามหาสกิลใหม่ๆ ให้ตัวเองพร้อมกว่าคนอื่นเป็นทวีคูณ แต่สุดท้ายถึงจะเก่งมาจากไหน ก็อาจตกม้าตายได้ง่ายๆ ถ้าด่านแรกอย่าง ' เรซูเม่ ' ไม่สนใจ ไม่น่าอ่าน และนั่นคือที่มาของบทความนี้ค่ะ

    ลองนึกถึงว่าบริษัทคือลูกค้าที่มาเดินห้าง และเด็กจบใหม่อย่างเราๆ เป็นสินค้าใหม่ที่เพิ่งนำมาวางขายออกตลาดเป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่ลูกค้าจะต้องเห็นด้วยตาก็คือแพ็กเกจจิ้ง หากดูดี สวยงามเตะตา ก็มีสิทธิ์ถูกนำไปลองใช้สูงกว่าแพ็กเกจจิ้งที่ดูยุ่งยาก อ่านไม่เข้าใจ ซึ่งเรซูเม่ก็ไม่ต่างกับตัวแทนแพ็กเกจจิ้งเหล่านั้น ในหลายๆ บริษัทดัง ตัดสินจากการอ่านเรซูเม่ไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ ถ้าไม่ตรงใจหรืออ่านแล้วงง เขาก็พร้อมจะกดเข้าโฟลเดอร์ถังขยะทันที! ดังนั้นเราจะมาแนะนำสาวๆ จบใหม่กับ ' 7 ทริคเขียนเรซูเม่ฉบับมือโปร ให้ HR สนใจ แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ ' จะต้องเขียนยังไงให้ได้งาน เรามาจับมือทำไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า!

    1. สรุปย่อ ' เป้าหมายในสายงาน ( personal statement ) ' ที่หัวกระดาษ

    เด็กจบใหม่มีมากมายเหมือนฝูงปลาในท้องทะเล แต่ละคนก็มีทักษะ บุคลิก นิสัยต่างกัน คิดในมุมนายจ้างว่าเขาต้องนั่งดูเรซูเม่ของคนแปลกหน้าเป็นร้อยๆ ก็ย่อมอยากจะรู้จักผู้สมัครแต่ละคนให้เร็วที่สุด เมื่อก่อนในเรซูเม่จะนิยมเขียน objectivr statement หรือเป้าหมายในหน้าที่การงานของตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้การเขียนแบบนั้นเอ้าท์ไปแล้ว เพราะบริษัทสมัยใหม่ไม่ได้โฟกัสว่าเธอจะอยากเติบโตยังไง แต่อยากรู้ว่าเธอจะเป็นฟันเฟืองที่ดียังไงให้บริษัทได้มากกว่า

    เราจึงแนะนำให้เธอเขียน ' summary statement ' หรือบทความสั้นๆ / สรุปย่อทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ที่ผ่านมาโดยรวมไว้ที่หัวกระดาษหรือส่วนบนๆ ของเรซูเม่ ไม่ควรเกิน 2-3 บรรทัด ถ้ามีทักษะหรือประสบการณ์เยอะ ก็เลือกอันที่เด่นๆ ก็พอ เพื่อให้นายจ้างรู้จักเธอแบบคร่าวๆ ก่อนจะดูรายละเอียดส่วนที่เหลือ ในฐานะที่ผู้เขียนเคยอยู่ในฝ่ายที่ต้องดูเรซูเม่ผู้สมัครมาก่อน ใครเขียนส่วนนี้มาจะพิจารณาง่ายมาก เพราะเราจะรู้ทันทีว่าคนนี้เหมาะหรือไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้นๆ ค่ะ 

    2. เลือก ' รูปแบบ ( template ) ' ของเรซูเม่ ให้เหมาะกับสายงานนั้นๆ

    เรซูเม่ไม่ใช่เสื้อผ้าฟรีไซส์แบบ one size fits all เพราะแต่ละสายอาชีพ ก็จะมีรูปแบบในการดีไซน์หรือ template ที่แตกต่างกัน ซึ่งสาวๆ ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสายงานที่จะสมัคร ซึ่งจะมีหลักๆ อยู่สองแบบ ดังนี้ค่ะ

    แบบแรกคือ chronological ที่เป็นแบบ bullet ไล่ลงมาเป็นข้อๆ ว่าการศึกษาตั้งแต่มัธยมถึงปริญญาตรี-โทเรียนที่ไหน เกรดเท่าไหร่ ประสบการณ์ทำงาน ( หรือฝึกงาน ) เคยทำที่ไหนมาบ้าง เหมาะกับงานจริงจังที่เน้นทักษะ hard skill เกรดเฉลี่ย ประสบการณ์และทักษะนอกห้องเรียนเยอะๆ เพราะบรรยายได้เต็มที่ เช่น นักบัญชี วิศวกร หมอ พยาบาล เภสัช แบบที่สองคือ functional ที่มีลูกเล่น ดีไซน์ให้สนุกได้ โดยเน้นความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้สมัครเป็นหลัก ซึ่งดึงความสนใจได้ดีกว่าสำหรับคนที่ไม่เคยทำงานจริงมาก่อน เพราะต้องใช้คู่กับพอร์ตโฟลิโอผลงานอยู่แล้ว เหมาะกับอาชีพที่ใช้ความครีเอทสูงๆ เช่น นักเขียน ครีเอทีฟ กราฟิกดีไซเนอร์ เป็นต้น

    **ทั้งนี้ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยดูเรซูเม่คนมาเยอะ แม้เธอตั้งใจจะสมัครเข้าตำแหน่งที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ก็ควรทำมาทั้ง chronological ที่เป็นทางการและแบบ functional ที่ใส่สีสันเต็มที่ แนบมาทั้งสองฉบับ เพราะคนพิจารณาอาจจะไม่ได้มีคนเดียว ในแผนกด้วยกันเองแค่สีสันก็พอ แต่บางบ. ต้องส่งเรซูเม่ให้ฝ่ายบริหารระดับสูงพิจารณาด้วย จึงควรมีแบบทางการไว้ด้วยกันเหนียวค่ะ

    3. ใส่ใจกับตัวอักษร การสะกดคำศัพท์ ว่ามีพิมพ์ตกหล่น ถูกไวยากรณ์หรือไม่

    อย่างที่บอกว่า บริษัทต้องมานั่งดูเรซูเม่ของผู้สมัครหลายร้อย บางบ. ดูเป็นพันฉบับต่อวัน เพื่อคัดคนออกรอบแรก บางทีแค่ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างสะกดตัวอักษรผิด ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะคัดออกไปอยู่ในถังขยะได้ โดยเฉพาะสายงานที่เน้นความละเอียดรอบคอบ บางคนแค่ชื่อมหาวิทยาลัยของตัวเองที่จบมา หรือชื่อบริษัทที่ไปฝึกงานมายังเขียนผิดๆ ถูกๆ เลย ถ้ามาทำงานที่ต้องซีเรียสกับชื่อลูกค้า วัน เวลา ในอีเมลแต่ละฉบับ แล้วเลินเล่อส่งออกไป เธออาจทำให้บริษัทต้องขาดทุนเป็นหลักแสนหลักล้านก็ได้ ไม่ใช่เรื่องตลกเด้อ

    ดังนั้นควรใส่ใจกับการเว้นวรรค ช่องไฟ ไวยากรณ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ การสะกดคำให้เนี้ยบที่สุด แม้จะมีจุดพลาดแค่ข้อเดียวก็ไม่ควรปล่อยผ่าน เพราะจะทำให้เรซูเม่ของเธอดู ' ไม่โปร เหมือนเด็กเล่นขายของ ' ทันที นอกจากอ่านเองแล้ว ควรให้คนสนิทอย่างที่บ้านหรือเพื่อนสนิทอ่านทวนเพื่อเช็กความเรียบร้อยอีกรอบ อย่าลืมว่าเธอคือเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย หากเรซูเม่ยังพิมพ์ผิดอีก เธอจะยิ่งกลายเป็นตัวเลือกที่รั้งท้ายแถวที่ไม่มีใครอยากได้เข้าไปใหญ่!

    4. หัวข้อ ' ผลงานที่ได้รับ/ประสบการณ์ที่ผ่านมา ' ควรชัดเจน เข้าใจง่าย

    หากเธอมีผลงานเด่นๆ ที่ได้รับ เช่น รางวัลชนะเลิศจากการไปประกวด ประกาศนียบัตรจากการเข้าอบรม เรียนคอร์สสั้นๆ จากมหาวิทยาลัย หรือมีประสบการณ์เข้าค่ายอาสา ค่ายผู้นำ ค่ายพัฒนาทักษะภาษาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายงานหรือตำแหน่งที่จะสมัคร ก็อย่าสักแต่จะยัดทุกอย่างที่เคยทำเข้าไปในเรซูเม่ เพราะนายจ้างหรือ HR ไม่มานั่งอ่านประวัติยาวยืดของเธอหรอก เขาสนแค่ว่าเธอมีคุณสมบัติตรงกับงานไหม มีประโยชน์ต่องานนั้นๆ หรือไม่เท่านั้น

    เลือกอันที่เด่นที่สุดมา 2-3 อย่าง แล้วเขียนเป็น bullet สั้นๆ กระชับ เข้าใจง่ายว่าได้รับบทเรียน หรือประสบการณ์ใดที่สำคัญจากการอบรมหรือเรียนคอร์สเหล่านั้น หากได้รางวัลก็ใส่รายละเอียดลงไปว่า ต้องมีคุณสมบัติหรือทักษะขั้นใดที่ทำให้ได้รางวัลนั้น เช่น ชนะเลิศระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ได้รับรางวัลจากใคร หากเป็นคนที่มีชื่อเสียงก็จะยิ่งเพิ่มเครดิตให้เธอยิ่งขึ้น ส่วนใครที่ไม่เคยชนะรางวัลอะไรเลย นั่นไม่ใช่ปัญหา ยุคนี้มีคอร์สออนไลน์หรือการอบรมสั้นๆ ในอินเตอร์เน็ตจากมหาลัยดังทั่วโลกมากมาย ลงเรียนสัก 2-3 คอร์สที่สนใจและตอบโจทย์งานที่จะสมัคร แล้วนำมาใส่ในเรซูเม่ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน

    5. ในหัวข้อ ' การศึกษา/ทักษะที่มี ' ควรเป็นความสามารถที่วัดผลได้

    สังเกตว่าเรซูเม่ของเด็กจบใหม่ยุคนี้ มักจะมีสิ่งหนึ่งที่คนคัดเรซูเม่เรียกว่า ' ค่าพลัง ' คือการทำเป็นกราฟ เป็นจุดๆ หรือเป็นเปอร์เซนต์ที่ผู้สมัครตัดสินขึ้นมาเองว่าตัวเองอยู่ในระดับเท่านี้ ซึ่งในมุมของนายจ้างจะงงว่า ระดับเท่านี้คือเท่าไหน ทำอะไรได้บ้าง ระดับของคนสมัครกับนายจ้างอยู่ในเกณฑ์เดียวกันหรือเปล่า เช่น ทักษะทำ photoshop 80% บางบริษัทอาจคิดว่ารีทัชภาพระดับป้ายโฆษณาได้แล้ว แต่ผู้สมัครเข้าใจว่าแค่ตัดแปะแบบง่ายๆ ก็คือเก่งแล้ว ซึ่งหากรับเข้ามาเป็นพนักงานจริงๆ จะทำให้เกิดปัญหาในเนื้องานได้อย่างแน่นอน

    ดังนั้นไม่ว่าจะทักษะภาษา, โปรแกรม หรือการศึกษาที่ได้เล่าเรียนมา เราแนะนำว่าอย่าใส่ค่าพลัง แต่บรรยายไปตรงๆ เลยว่าเธอเรียนอะไรมา ทำอะไรได้บ้าง ถ้ามีการสอบแบบสากลก็ใส่คะแนนมา เช่น TOEIC TOEFL IELTS ไม่ต้องใส่จุด หรือวัดเปอร์เซนต์เพราะมันไม่ใช่เกณฑ์สากล วัดผลไม่ได้กับทุกคน เน้นผลที่เป็นรูปธรรมไว้ก่อน ถ้ามาแบบให้คิดจินตนาการเอาเอง เกรงว่าเรซูเม่ของเธอจะถูกคัดออกเสียก่อนค่ะ

    6. ถ้าไม่เคยไป ' ฝึกงานในสนามจริง ' เลย ควรไปสมัครหาประสบการณ์ก่อน

    บทความที่เกี่ยวข้อง
    Content quotation bg
    Disclaimer : หากมีข้อสงสัย กรุณาติดต่อทีมงานมาที่ [email protected]
    Content quotation bg


    ดาวน์โหลดแอพ
    ดาวน์โหลดแอพดาวน์โหลดแอพ
    Icon ranking

    อันดับบทความประจำวัน

    (หมวดอื่น ๆ)

    Variety By SistaCafe

    Icon feature 100x100

    Feature

    กิจกรรม SistaCafe