

อื่น ๆ
#แค่มีชีวิตอยู่ก็เหนื่อยแล้ว! 7 เหตุผลที่เธอ " ทำยังไงก็ไม่มีความสุข " และวิธีแก้ไข ให้หลุดพ้นจากความทุกข์
มีชีวิตเดียวทั้งที ใครๆ ก็อยากมีความสุข แต่ถ้าเธอเป็นคนหนึ่งที่หันซ้ายหันขวา ทบทวนตัวเองยังไง ก็รู้สึกว่าหัวใจมืดสนิท ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ทำไมการมีชีวิตอยู่มันทุกข์ขนาดนี้ ลองมาอ่านบทความนี้ เธออาจจะพบคำตอบก็ได้!

เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. มีมุมมองเกี่ยวกับ ' ความรัก ' เกินจริงแบบผิดๆ
2. ยังติดนิสัยแข่งขัน อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น
3. ขาดการพูดคุยสื่อสารที่ ' ลึกซึ้ง ' จริงๆ กับคนรอบข้าง
4. ความภูมิใจในตัวเองต่ำ คิดว่าตัวเองไม่มีข้อดี จะมีความสุขได้ยังไง
5. ' หยิ่งในศักดิ์ศรี ' เกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ ยิ่งเก็บไว้ยิ่งอึดอัด
6. ใช้ทั้งชีวิตตั้งใจ ' ไขว่คว้า ' หาความสุขจนเกินพอดี
7. ทำใจรักและยอมรับตัวเองไม่ได้ ไม่เคยคิดจะ ' รักตัวเอง ' มาก่อน
สวัสดีค่ะ สาวๆ SistaCafe คนที่กำลัง ' เบื่อโลก ' ทั้งหลาย
ช่วงนี้สถานการณ์หลายอย่างในประเทศก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง อ่านเจอข่าวทั้งปัญหาการงาน
การเงิน เศรษฐกิจและสังคมที่ไม่สู้ดี โดยเฉพาะปัญหาส่วนตัวที่หลายคนเคยเก็บงำได้ในช่วงที่
ทุกอย่างยังดี แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่สุกงอมเต็มที่ ขยะที่ซ่อนไว้ใต้พรมก็ถูกเปิดเผยออกมา
บางครั้งดูภายนอกก็เหมือนไม่มีอะไร ฉันยังไหว ฉันยังโอเค ทั้งที่ในใจกลับหม่นหมอง เหนื่อย
หาทางออกไม่เจอ ไม่มีความสุขในชีวิตเอาซะเลย จนบางครั้งก็อยากจะไปจากโลกนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
คำถามคือ เคยสำรวจตัวเองไหมว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น?
แม้อารมณ์ความรู้สึกจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ใช้หลักตรรกะ 100% มาตัดสินก็ไม่ถูกทั้งหมด แต่การที่เรารู้สึกอะไรสักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ย่อมต้องมีสาเหตุเสมอไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง! ซึ่งอาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแนวคิดหรือ mindset ที่ฝังอยู่ในตัวเธอมานานแสนนานก็ได้ หากวันนี้เธอรู้สึกว่าไม่มีกำลังใจจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ลองมาอ่าน ' 7 สาเหตุที่เธอทำยังไงก็ไม่มีความสุข ' ว่าตรงกับเธอหรือไม่ ถ้าใช่ ก็มาแก้ไขความคิดเหล่านี้ไปพร้อมๆ กับเรา เพื่อหลุดพ้นลูปความทุกข์เหล่านี้เสียที ❤
1. มีมุมมองเกี่ยวกับ ' ความรัก ' เกินจริงแบบผิดๆ
ตั้งแต่เด็กจนเติบโตมา เรามักจะเคยชินกับการเสพสื่อความรัก ที่มีพล็อตแบบ ' ละครน้ำเน่า ' ที่พระเอกต้องดี เลิศเลอเพอร์เฟกต์ ห้ามมีตำหนิหรือข้อเสียแม้แต่ปลายเส้นผม ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะทำผิดยังไงก็ต้องให้อภัย เป็นผู้ชายห้ามร้องไห้ ต้องเสียสละ ต้องเลี้ยงดูเธอได้ ถ้าแสดงความอ่อนแอให้เห็นแสดงว่า ' ไม่แมน ' วันดีคืนดีก็งอนเรื่องเล็กน้อย หาเรื่องทะเลาะว่าเขาเอาใจไม่ดีพออยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ปี 2021 จะปรับแนวคิดเหล่านี้ไปเยอะแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าสาวไทยหลายคนก็ยังติดอยู่ในวังวนที่ว่า ' ฉันจะไม่ปรับอะไร ผู้ชายสิต้องปรับเข้าหาฉัน ' อยู่ดี
ความจริงก็คือ จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ผิดพลาดได้ ร้องไห้เป็น ผู้ชายก็มีสิทธิ์จะร้องไห้ เหนื่อย ไม่อยากแบกรับภาระจนหลังจะทรุด ในฐานะคนที่กำลังคุยๆ กัน, เป็นแฟนแล้ว หรือเป็นคู่ชีวิต ก็อยากให้มองว่าคู่รักคือ ' ทีมเดียวกัน ' ที่มีสถานะเท่ากัน ถ้าเขาไม่ไหวเราก็ต้องพร้อมแบ่งเบา หรืออย่างน้อยก็เป็นคู่คิด เป็น comfort zone ให้เขาได้ ความรักถึงจะเป็นไปอย่างราบรื่น ใครที่ยังติดเรื่องความสมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์ภายนอก ก็ลองลดสเปคลง มองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น เธออาจจะได้เจอคนดีๆ ที่มองข้ามมาตลอดก็ได้ค่ะ
ความจริงก็คือ จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ผิดพลาดได้ ร้องไห้เป็น ผู้ชายก็มีสิทธิ์จะร้องไห้ เหนื่อย ไม่อยากแบกรับภาระจนหลังจะทรุด ในฐานะคนที่กำลังคุยๆ กัน, เป็นแฟนแล้ว หรือเป็นคู่ชีวิต ก็อยากให้มองว่าคู่รักคือ ' ทีมเดียวกัน ' ที่มีสถานะเท่ากัน ถ้าเขาไม่ไหวเราก็ต้องพร้อมแบ่งเบา หรืออย่างน้อยก็เป็นคู่คิด เป็น comfort zone ให้เขาได้ ความรักถึงจะเป็นไปอย่างราบรื่น ใครที่ยังติดเรื่องความสมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์ภายนอก ก็ลองลดสเปคลง มองโลกในความเป็นจริงมากขึ้น เธออาจจะได้เจอคนดีๆ ที่มองข้ามมาตลอดก็ได้ค่ะ
2. ยังติดนิสัยแข่งขัน อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น
ย้อนกลับไปตอนที่สาวๆ ยังอยู่ในวัยเรียน เมื่อคนรุ่นเดียวกันถูกจับมาอยู่ร่วมชั้นกัน เราจะเห็นทั้งคนที่ฐานะไม่ดีเท่าเรา และคนที่ฐานะดีพร้อมกว่าเรา มีของดีๆ ใช้ มีทริปไปเมืองนอกทุกซัมเมอร์ ซึ่งความอิจฉาริษยา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในวัยเด็กที่เรายังอยากเป็นที่ยอมรับ self-esteem ยังไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะรู้สึกเป็นปมด้อย น้อยเนื้อต่ำใจ มองคนที่พร้อมกว่าในแง่ลบ และบางคนก็ติดนิสัยนี้ไปจนโต เป็นวัยชราแล้วก็ยังทำใจไม่ได้ ยังคงบ่นโทษโชคชะตา ดินฟ้าอากาศ สุดท้ายชีวิตก็ย่ำอยู่ที่เดิม
สาวๆ ที่อ่านบทความนี้อยู่ เราถือว่าเธอโตพอแล้วที่ควรจะ ' หยุด ' นิสัยเด็กๆ เหล่านี้เสียที ต้องยอมรับก่อนว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาเท่ากันเป๊ะ เราอาจจะมีไม่เท่าเขาก็จริง แต่เรายังมีสมองและสองมือที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ เส้นทางชีวิตของเราก็คือของเรา อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ถ้าเธอเทียบตัวเองกับเจ้าสัวระดับพันล้านหมื่นล้าน จนวันตายเธอก็คงไม่มีความสุข พยายามดิ้นรนเท่าที่ไหวและแฮปปี้ไปกับมันจะดีกว่านะ
สาวๆ ที่อ่านบทความนี้อยู่ เราถือว่าเธอโตพอแล้วที่ควรจะ ' หยุด ' นิสัยเด็กๆ เหล่านี้เสียที ต้องยอมรับก่อนว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาเท่ากันเป๊ะ เราอาจจะมีไม่เท่าเขาก็จริง แต่เรายังมีสมองและสองมือที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ เส้นทางชีวิตของเราก็คือของเรา อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า ถ้าเธอเทียบตัวเองกับเจ้าสัวระดับพันล้านหมื่นล้าน จนวันตายเธอก็คงไม่มีความสุข พยายามดิ้นรนเท่าที่ไหวและแฮปปี้ไปกับมันจะดีกว่านะ
3. ขาดการพูดคุยสื่อสารที่ ' ลึกซึ้ง ' จริงๆ กับคนรอบข้าง
เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่มากๆ ที่เห็นชัดสุดในยุคโซเชียลนี่เอง เพราะเรากำลังอยู่ใน ' สังคมก้มหน้า '
กันอย่างเต็มตัว บางทีนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างง่วนกับหน้าจอมือถือของตัวเอง เช็กยอดไลก์ ยอดแชร์ ไถทวิต ลงรูปในไอจี โดยไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์ พูดคุยอย่างจริงจังกับคนตรงหน้า
บางครอบครัวอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับไม่รู้เลยว่าพ่อกลับบ้านกี่โมง แม่ไม่สบายหรือเปล่า น้องมีปัญหาที่โรงเรียนไหม เพราะกลับบ้านมาก็เข้าห้อง ต่างคนต่างอยู่ นานวันคนก็ยิ่งเหินห่างกันไปเรื่อยๆ จนบางทีมีคำว่า " ถ้าเรียกต่อหน้าแล้วไม่คุย สงสัยต้องทักแช็ตไปละมั้ง "
จะโทษเทคโนโลยีอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะบางคนก็ใช้ในทางที่ดี ดึงคนไกลจากอีกมุมโลกมาให้อยู่ห่างกันแค่หน้าจอ หรือประชุมงานออนไลน์ที่ต่างฝ่ายต่างอยู่คนละประเทศให้สะดวกขึ้นได้ แต่ในเคสที่ตัวจริงก็อยู่ใกล้ๆ กัน เวลาคุยกันก็คุยที่ได้เห็นตัวจริง ได้ยินน้ำเสียง สีหน้า สัมผัสแบบไม่ต้องมีหน้าจอมาขวางจะดีกว่า สุดท้ายการมีปฏิสัมพันธ์กันตามธรรมชาติก็ผูกพันลึกซึ้งมากกว่า อย่าปล่อยให้คนใกล้กลายเป็นคนไกล ก่อนจะสายเกินแก้ไขนะคะซิส
กันอย่างเต็มตัว บางทีนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่ต่างฝ่ายต่างง่วนกับหน้าจอมือถือของตัวเอง เช็กยอดไลก์ ยอดแชร์ ไถทวิต ลงรูปในไอจี โดยไม่สนใจสร้างความสัมพันธ์ พูดคุยอย่างจริงจังกับคนตรงหน้า
บางครอบครัวอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับไม่รู้เลยว่าพ่อกลับบ้านกี่โมง แม่ไม่สบายหรือเปล่า น้องมีปัญหาที่โรงเรียนไหม เพราะกลับบ้านมาก็เข้าห้อง ต่างคนต่างอยู่ นานวันคนก็ยิ่งเหินห่างกันไปเรื่อยๆ จนบางทีมีคำว่า " ถ้าเรียกต่อหน้าแล้วไม่คุย สงสัยต้องทักแช็ตไปละมั้ง "
จะโทษเทคโนโลยีอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะบางคนก็ใช้ในทางที่ดี ดึงคนไกลจากอีกมุมโลกมาให้อยู่ห่างกันแค่หน้าจอ หรือประชุมงานออนไลน์ที่ต่างฝ่ายต่างอยู่คนละประเทศให้สะดวกขึ้นได้ แต่ในเคสที่ตัวจริงก็อยู่ใกล้ๆ กัน เวลาคุยกันก็คุยที่ได้เห็นตัวจริง ได้ยินน้ำเสียง สีหน้า สัมผัสแบบไม่ต้องมีหน้าจอมาขวางจะดีกว่า สุดท้ายการมีปฏิสัมพันธ์กันตามธรรมชาติก็ผูกพันลึกซึ้งมากกว่า อย่าปล่อยให้คนใกล้กลายเป็นคนไกล ก่อนจะสายเกินแก้ไขนะคะซิส
4. ความภูมิใจในตัวเองต่ำ คิดว่าตัวเองไม่มีข้อดี จะมีความสุขได้ยังไง
เราทุกคนล้วนมีอดีต โดยเฉพาะปมที่ฝังแน่นในด้านจิตใจ บางคนเติบโตมากับสังคมและครอบครัวที่เปรียบเทียบเธอกับคนอื่นที่ดีกว่าอยู่ตลอดเวลา ใช้คำพูดและการกระทำทับถมว่าเธอด้อยค่า ต้อยต่ำ
ไม่น่ามาเกิดเป็นลูกบ้านนี้เลย etc. ซึ่งพ่อแม่บางบ้านก็ใช้คำพูดแรงๆ เอาสะใจในขณะนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำร้ายจิตใจเด็กเล็กอายุไม่กี่ขวบมากขนาดไหน สุดท้ายก็จำฝังใจ ถึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเก็บก็เยอะ เพื่อนก็แยะ แต่ก็ยังรู้สึก เหมือนตัวตนส่วนหนึ่งขาดหายไป ลึกๆ ก็เศร้าอยู่เสมอเพราะก้าวผ่านปมวัยเด็กไปไม่ได้
เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกครอบครัวที่จะอยู่ด้วยก็ไม่ได้ อันนี้คือสัจธรรม เธออาจจะโชคร้ายที่เกิดมาเจอครอบครัวที่ทำร้ายเธอ ไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือจิตใจก็ตาม แต่สุดท้ายตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอกำหนดเส้นทางชีวิตเองได้ เลือกได้ว่าจะมีความสุขหรือจะจมอยู่ในความทุกข์ตลอดไป ถ้าที่บ้านเป็นเซฟโซนให้ไม่ได้ ก็เข้าหาคนที่ช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งได้ เช่น เพื่อนสนิท แฟน ครู นักจิตวิทยา แน่นอนว่าปรับ mindset นั้นไม่ง่าย อาจใช้เวลาหลายปี แต่อยากให้จำไว้ว่า ซิสทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง เราแก้อดีตไม่ได้ แต่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขในอนาคตได้ค่ะ
ไม่น่ามาเกิดเป็นลูกบ้านนี้เลย etc. ซึ่งพ่อแม่บางบ้านก็ใช้คำพูดแรงๆ เอาสะใจในขณะนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำร้ายจิตใจเด็กเล็กอายุไม่กี่ขวบมากขนาดไหน สุดท้ายก็จำฝังใจ ถึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเก็บก็เยอะ เพื่อนก็แยะ แต่ก็ยังรู้สึก เหมือนตัวตนส่วนหนึ่งขาดหายไป ลึกๆ ก็เศร้าอยู่เสมอเพราะก้าวผ่านปมวัยเด็กไปไม่ได้
เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกครอบครัวที่จะอยู่ด้วยก็ไม่ได้ อันนี้คือสัจธรรม เธออาจจะโชคร้ายที่เกิดมาเจอครอบครัวที่ทำร้ายเธอ ไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือจิตใจก็ตาม แต่สุดท้ายตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอกำหนดเส้นทางชีวิตเองได้ เลือกได้ว่าจะมีความสุขหรือจะจมอยู่ในความทุกข์ตลอดไป ถ้าที่บ้านเป็นเซฟโซนให้ไม่ได้ ก็เข้าหาคนที่ช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งได้ เช่น เพื่อนสนิท แฟน ครู นักจิตวิทยา แน่นอนว่าปรับ mindset นั้นไม่ง่าย อาจใช้เวลาหลายปี แต่อยากให้จำไว้ว่า ซิสทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง เราแก้อดีตไม่ได้ แต่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขในอนาคตได้ค่ะ
5. ' หยิ่งในศักดิ์ศรี ' เกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ ยิ่งเก็บไว้ยิ่งอึดอัด
จะเป็นคนบุคลิกเงียบๆ นิ่งๆ เคร่งขรึม โลกส่วนตัวสูงแค่ไหน แต่ก็ต้องมีโมเมนต์ที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรงจนอยากจะกรีดร้องฟูมฟาย หรือร้องไห้เป็นชั่วโมงบนตักของใครสักคนกันบ้างแหละ แต่บางคนก็ได้รับการสั่งสอนมาว่า " ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ห้ามแสดงอารมณ์ด้านลบให้คนอื่นเห็น ไม่อย่างนั้นเขาจะมองว่าเราอ่อนแอ " จะชีวิตพัง มรสุมรุมเร้ายังไงก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ หรือระบายความทุกข์ให้ใครฟัง คนอื่นเห็นเธอไม่พูดก็ไม่กล้ายุ่ง สรุปไปกันใหญ่ ตัวเธอเองก็ยิ่งเครียด ซึมเศร้ากว่าเดิม
เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึก ไม่ต้องแบกทั้งโลกจนหนักขนาดนั้นก็ได้ การที่ระบายปัญหาคับข้องใจออกมา ไม่ได้ทำให้คุณค่าของเธอลดลง เธอแค่ได้ทำให้โลกเห็นว่า เธอก็เป็นคนปกติที่เจอทั้งความสุขและความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าแค่ลองเปิดใจกับคนรอบข้าง เธออาจจะได้มิตรภาพหรือความช่วยเหลือดีๆ จากคนที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ
เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความรู้สึก ไม่ต้องแบกทั้งโลกจนหนักขนาดนั้นก็ได้ การที่ระบายปัญหาคับข้องใจออกมา ไม่ได้ทำให้คุณค่าของเธอลดลง เธอแค่ได้ทำให้โลกเห็นว่า เธอก็เป็นคนปกติที่เจอทั้งความสุขและความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าแค่ลองเปิดใจกับคนรอบข้าง เธออาจจะได้มิตรภาพหรือความช่วยเหลือดีๆ จากคนที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ
6. ใช้ทั้งชีวิตตั้งใจ ' ไขว่คว้า ' หาความสุขจนเกินพอดี
❤ อย่าลืมไลค์และแชร์บทความให้กำลังใจเราด้วยนะคะ ❤

อันดับบทความประจำวัน
(หมวดอื่น ๆ)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe