

สุขภาพ
ระวังได้ work from เตียงผู้ป่วย! 7 นิสัยเคยชินเมื่อ ' Work From Home ' เสี่ยงสุขภาพพัง ใครทำอยู่ปรับตัวด่วน
แม้ช่วงนี้สถานการณ์โควิดจะกลับมารุนแรง หลายบริษัทต้องกลับมาทำงานที่บ้านอีกรอบ แต่ก็อย่าเคยชินกับพฤติกรรมเดิมๆ แบบนี้จนเสียสุขภาพนะคะ ไม่อย่างนั้นจากที่ work from home จะเป็น work from hospital แทน -_-'

เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. ทำงานจนดึกดื่น ทำงานไม่เป็นเวลาเกือบ 24 ชั่วโมง
2. นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะไม่ต้องเดินทางไปทำงาน
3. นั่งทำงานอยู่ในห้องมืดๆ ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน
4. ปากว่าง อยู่ไม่สุข หาขนมจุบจิบกินทั้งวัน
5. ชีวิตอยู่ได้ด้วยคาเฟอีน! ดื่ม 'กาแฟ' วนไปทั้งวัน ยิ่งกว่าดื่มน้ำเปล่า
6. สภาพแวดล้อมไม่เอื้อ งานหนัก ยิ่งทำยิ่ง ' เครียด ' กว่าอยู่ออฟฟิศอีก
7. ไม่ติดต่อกับใคร ตัดการสื่อสารโลกภายนอก เสี่ยง ' ภาวะซึมเศร้า '
ขอเสียงสาวๆ SistaCafe ชาว #ทำงานที่บ้าน ทุกคนหน่อยค่า (*¯ ³¯*)♡
หลังจากการระบาดรอบแรกเบาบางลงไปบ้าง ตอนนี้สถานการณ์ก็เริ่มเข้มงวด เชื้อโรคออกอาละวาด
อีกครั้ง จึงทำให้หลายๆ บริษัทที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ต้องกลับมามีนโยบายให้พนักงาน #workfromhome กันอีกรอบ ยังไม่นับเหล่าฟรีแลนซ์ที่ใช้บ้านเป็นที่ทำงานกันเป็นปกติอยู่แล้ว
ก็แทบไม่ต้องใช้ชีวิตข้างนอกกันแล้วจ้าา ใช้บริการส่งของ เดลิเวอรี่ ถ้าทำ vlog ติดตามชีวิตใน youtube
ที่ฮิตๆ กันตอนนี้ คงต้องตั้งชื่อหัวข้อว่า ' everyday with my house ' วนเวียนอยู่กับห้องนอน
ห้องครัว ห้องน้ำวนไป #น่าเบื่อที่สุด T^T
เมื่อสาวๆ หลายคนทำงานที่บ้านต่อเนื่องถึงระยะเวลาหนึ่ง พฤติกรรมบางอย่างก็จะเริ่มติดเป็น ' นิสัย ' เพราะทำแล้วสบาย สะดวก ไม่ต้องมีใครมากำกับบงการชีวิตเหมือนนั่งกดดันอยู่ที่ออฟฟิศ ซึ่งในแง่ดีก็ไม่อึดอัด อยากทำอะไรก็ทำได้อย่างมีความสุข แต่ในแง่ร้าย คือเมื่อชีวิตไม่มีแบบแผน ก็อาจทำให้การ
กระทำบางอย่างของเราเสียสุขภาพในระยะยาวไปโดยไม่รู้ตัว! ถ้าสาวๆ คนไหนสงสัยว่าทุกวันนี้เผลอทำสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ลองมาเช็คได้ใน '7 นิสัยเคยชินเมื่อ Work From Home ทำสุขภาพพัง' ใครทำอยู่ก็รีบปรับตัวด่วนจี๋นะจ๊ะ ก่อนจะต้องไปเวิร์กที่เตียงโรงพยาบาลแทน!!
1. ทำงานจนดึกดื่น ทำงานไม่เป็นเวลาเกือบ 24 ชั่วโมง
ตอนที่สาวๆ ยังต้องตื่นเช้า ออกเดินทางไปตอกบัตรเข้าออก แม้จะดูน่าเบื่อ ชีวิตเร่งรีบ แต่ข้อดีคือมันก็คือการตีกรอบเวลาเข้า-เลิกงานชัดเจน เริ่มทำงานกี่โมง ถึงตอนไหนต้องเลิกงาน แล้วจบแค่นั้น! ( ไม่นับสายอาชีพที่มีโอทีนะ แต่ถึงมีส่วนใหญ่ก็ทำที่ออฟฟิศ ไม่ได้หอบมาทำที่บ้านมากนัก ) แต่เมื่อต้อง work from home เต็มตัว งาน 100% ก็จะอยู่ที่บ้าน เส้นกั้นระหว่างชีวิตส่วนตัวกับงานก็จะบางลงเรื่อยๆ ถ้างานไม่เสร็จก็ต้องทำให้เสร็จ เพราะเราก็ไม่อยากให้งานค้าง บางทีสามสี่ทุ่มแล้วแต่ก็ยังไม่ปิดคอมสักที เช้าๆ มีคำสั่งด่วน มีประชุมอะไรมาก็ต้องเข้า สรุปไม่มีเวลาไหนที่ได้เลิกงานจริงเลย แทบจะทำ 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว!
หากเธอไม่ขีดเส้นเวลางาน กับเวลาอยู่กับตัวเองและครอบครัวให้ชัดเจน สุดท้ายเธอจะ ' ทำงานเกินขีดจำกัด ' ตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะเกิดภาวะต่างๆ ตามมามากมาย เช่น burnout, โรคกระเพาะ เพราะกินอาหารไม่เป็นเวลา, ปวดหลัง ปวดไหล่ เพราะนั่งเก้าอี้ท่าเดิมมานานเกินไป, เวียนหัว บ้านหมุนเพราะนอนไม่พอ เป็นต้น
วิธีแก้ไข : เซตเวลาเข้าออกให้ตัวเองเหมือนอยู่ที่ทำงาน! เวลานี้เปิดคอม หมดเวลานี้ต้องปิดคอม หรืออย่างน้อยก็ log out ออกจากเซิฟเวอร์ที่ทำงานเสีย วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ทั้งหมดกับงานด้านครีเอทีฟหรือโฆษณาที่มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาสูง แต่จะเหมาะมากกับงานที่ไม่ต้องอัปเดตเรียลไทม์ และมีเดตไลน์ชัดเจนค่ะ
หากเธอไม่ขีดเส้นเวลางาน กับเวลาอยู่กับตัวเองและครอบครัวให้ชัดเจน สุดท้ายเธอจะ ' ทำงานเกินขีดจำกัด ' ตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะเกิดภาวะต่างๆ ตามมามากมาย เช่น burnout, โรคกระเพาะ เพราะกินอาหารไม่เป็นเวลา, ปวดหลัง ปวดไหล่ เพราะนั่งเก้าอี้ท่าเดิมมานานเกินไป, เวียนหัว บ้านหมุนเพราะนอนไม่พอ เป็นต้น
วิธีแก้ไข : เซตเวลาเข้าออกให้ตัวเองเหมือนอยู่ที่ทำงาน! เวลานี้เปิดคอม หมดเวลานี้ต้องปิดคอม หรืออย่างน้อยก็ log out ออกจากเซิฟเวอร์ที่ทำงานเสีย วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ทั้งหมดกับงานด้านครีเอทีฟหรือโฆษณาที่มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาสูง แต่จะเหมาะมากกับงานที่ไม่ต้องอัปเดตเรียลไทม์ และมีเดตไลน์ชัดเจนค่ะ
2. นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะไม่ต้องเดินทางไปทำงาน
หากไปทำงานปกติ ถ้าไม่ใช่ที่ทำงานที่มีหอใน หรือคอนโดอยู่ติดออฟฟิศจริงๆ ก็ต้องมีการเดินทางให้เผาผลาญแคลอรี่ ขยับร่างกายบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะปั่นจักรยาน เดินเท้า ขึ้นรถสองแถว รถเมล์ รถไฟฟ้า ช่วงพักเที่ยงก็ยังได้เดินไปโรงอาหาร ไปร้านข้าวใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้นั่งจมอยู่กับโต๊ะทั้งวัน ซึ่งการ work from home มันก็ดีตรงที่ไม่ต้องไปเบียดคนเป็นกลุ่มก้อนแย่งขึ้นรถ ( ซึ่งสุดแสนจะเสี่ยงโควิด ) แต่ข้อเสียคือ เธอจะแทบถูกสูบกลืนหายไปกับเก้าอี้ เพราะทั้งวันแทบจะไม่ได้ลุกเลย อาจจะแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำบ้างแค่นั้น!
สัปดาห์แรกๆ ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านั่งท่าเดิมอยู่ทั้งวัน 8-9 ชั่วโมงเป็นหลักเดือน นอกจากออฟฟิศ
ซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง จะถามหาแล้ว น้องพุงก็จะถามหา เสื้อผ้าคับ น้ำหนักพุ่งแบบไม่ต้องสงสัย เพราะกินเท่าเดิมแต่เผาผลาญพลังงานต่อวันน้อยลง สังเกตว่าคนทำงานที่บ้านนานๆ ส่วนใหญ่จะอ้วนขึ้นกันทั้งนั้นค่ะ เหมือนเป็นแพ็กเกจเสริมยังไงยังงั้น!
วิธีแก้ไข : ถ้าไม่ลดแคลอรี่อาหารที่กินต่อวันลง ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น! ช่วงโควิดแบบนี้ การไปเดินเล่นสวนสาธารณะหรือฟิตเนสก็เสี่ยงเกินไป แนะนำให้สั่งเครื่องออกกำลังกายเบาๆ มาไว้ที่บ้าน เช่น เสื่อโยคะ ลู่วิ่งแบบ walking pad ราคาประหยัด ดัมเบล จักรยาน eliptical เป็นต้น หรือถ้างบน้อยจริงก็ออกกำลังตามคลิปเทรนเนอร์มากมายในยูทูปก็ได้ค่ะ เพื่อหุ่นสวยสุดเฟิร์ม!
สัปดาห์แรกๆ ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านั่งท่าเดิมอยู่ทั้งวัน 8-9 ชั่วโมงเป็นหลักเดือน นอกจากออฟฟิศ
ซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง จะถามหาแล้ว น้องพุงก็จะถามหา เสื้อผ้าคับ น้ำหนักพุ่งแบบไม่ต้องสงสัย เพราะกินเท่าเดิมแต่เผาผลาญพลังงานต่อวันน้อยลง สังเกตว่าคนทำงานที่บ้านนานๆ ส่วนใหญ่จะอ้วนขึ้นกันทั้งนั้นค่ะ เหมือนเป็นแพ็กเกจเสริมยังไงยังงั้น!
วิธีแก้ไข : ถ้าไม่ลดแคลอรี่อาหารที่กินต่อวันลง ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น! ช่วงโควิดแบบนี้ การไปเดินเล่นสวนสาธารณะหรือฟิตเนสก็เสี่ยงเกินไป แนะนำให้สั่งเครื่องออกกำลังกายเบาๆ มาไว้ที่บ้าน เช่น เสื่อโยคะ ลู่วิ่งแบบ walking pad ราคาประหยัด ดัมเบล จักรยาน eliptical เป็นต้น หรือถ้างบน้อยจริงก็ออกกำลังตามคลิปเทรนเนอร์มากมายในยูทูปก็ได้ค่ะ เพื่อหุ่นสวยสุดเฟิร์ม!
3. นั่งทำงานอยู่ในห้องมืดๆ ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน
เมื่อต้องทำงานที่บ้าน สาวๆ มากมายก็มักจะทำงานอยู่ใน ' ห้องนอน ' ด้วยความเป็นส่วนตัว ขี้เกียจยกคอม โน้ตบุ๊กออกไปห้องนั่งเล่นหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งห้องนอนของหลายๆ บ้านก็มักไม่ค่อยมีแสงอาทิตย์ส่องเข้าถึง บางทีปิดม่านดำทึบแสงไว้ทั้งวันทั้งคืน สร้างสมาธิให้การทำงาน แต่สิ่งหนึ่งที่อาจไม่รู้กันคือ ถ้าเราทำงานอยู่ในห้องมืด ไม่เจอแสงแดดเลย เราจะมีคุณภาพการนอนที่แย่ลง มีชั่งโมงการนอนหลับที่น้อยลง เทียบกับคนที่เจอแสงอาทิตย์เป็นปกติค่ะ
จึงมักได้ยินจากคนรอบตัวกันบ่อยๆ ว่า คนที่ทำงานอยู่กับความมืด มักจะเจอปัญหาที่ทำลายสุขภาพเช่น โรคนอนไม่หลับ , เมื่อไม่เจอแดดเลย ก็ไม่รู้วันรู้คืน ส่งผลทางอ้อมให้กินอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้น, เสียสายตา ปวดตามากขึ้น, ภาวะซึมเศร้าทางจิตใจ เพราะเจอแต่ความมืด ( หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความหดหู่หม่นหมอง ) ตลอดเวลานั่นเอง
วิธีแก้ไข : แม้ว่าจะลำบากสักหน่อย ก็อยากให้สาวๆ ยกคอมไปทำงานในห้องส่วนกลางของบ้านที่มีแสงส่องถึงบ้างจะดีกว่า โดยมีงานวิจัยเผยว่า การเจอแสงแดดในช่วง 8 โมงเช้าและช่วงกลางวัน จะช่วยเผาผลาญไขมันและมีค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ลดลง หากกลัวแสงแยงเข้าตา ก็ใช้เป็นม่านกรองแสงหรือมู่ลี่แทนก็ได้ค่ะ
จึงมักได้ยินจากคนรอบตัวกันบ่อยๆ ว่า คนที่ทำงานอยู่กับความมืด มักจะเจอปัญหาที่ทำลายสุขภาพเช่น โรคนอนไม่หลับ , เมื่อไม่เจอแดดเลย ก็ไม่รู้วันรู้คืน ส่งผลทางอ้อมให้กินอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้น, เสียสายตา ปวดตามากขึ้น, ภาวะซึมเศร้าทางจิตใจ เพราะเจอแต่ความมืด ( หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความหดหู่หม่นหมอง ) ตลอดเวลานั่นเอง
วิธีแก้ไข : แม้ว่าจะลำบากสักหน่อย ก็อยากให้สาวๆ ยกคอมไปทำงานในห้องส่วนกลางของบ้านที่มีแสงส่องถึงบ้างจะดีกว่า โดยมีงานวิจัยเผยว่า การเจอแสงแดดในช่วง 8 โมงเช้าและช่วงกลางวัน จะช่วยเผาผลาญไขมันและมีค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ลดลง หากกลัวแสงแยงเข้าตา ก็ใช้เป็นม่านกรองแสงหรือมู่ลี่แทนก็ได้ค่ะ
4. ปากว่าง อยู่ไม่สุข หาขนมจุบจิบกินทั้งวัน
ถูกใจสายกินเลย! เพราะในหลายๆ ออฟฟิศมักมีกฎเข้มงวดที่ไม่ให้พนักงานนำอาหารหรือขนมทุกชนิดมากินหน้าโต๊ะทำงาน เนื่องด้วยภาพลักษณ์บริษัทและการทำความสะอาด จะกินได้ก็ต่อเมื่อลุกไปกินที่ห้องอาหารส่วนกลาง หรือไปกินที่ร้านอื่นๆ ในช่วงพักกลางวันเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อดีให้เรากินอาหารเป็นเวลาไปในตัว แต่เมื่อ work from home ไม่มีใครมาเห็น มาสอดส่องหรือตำหนิว่าเราจะกินอะไรตอนไหน จะเคี้ยวขนมกร๊อบๆ หน้าคอมก็ได้ จะกินทั้งวันก็ได้ สั่งเดลิเวอร์รี่มาระหว่างทำงานยังได้เลย #สบายกว่านี้มีอีกไหม
การที่ไม่มีลิมิตของการกิน คนที่กินจุกจิก กินนอกมื้อเก่งอยู่แล้วก็จะยิ่งห้ามใจตัวเองไม่ได้ แถมยังสั่งของในแอปอาหารมาเพิ่ม คุ้ยของในตู้เย็นมาได้ตลอดเวลา สุดท้ายก็น้ำหนักพุ่งพรวด อ้วนขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ซึ่งก็จะตามมาด้วยความเสี่ยงน้ำตาลและไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดัน มากันเป็นขบวน!
วิธีแก้ไข : หากเป็นไปได้ ควรกินอาหารบนโต๊ะที่จัดไว้เป็น ' โต๊ะกินข้าว ' ในบ้านเท่านั้น แยกโต๊ะกินข้าวกับโต๊ะทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน และกิน 3 มื้อ ไม่ต้องกินนอกเหนือจากนั้น หมดมื้อหลักคือจบ! แต่ถ้าอดใจไมไหวจริงๆ หิวไม่ไหว เช่นช่วงมีประจำเดือน ก็กินแค่ 2 มื้อย่อย คือช่วงสายกับช่วงบ่าย และควรเป็นอาหารแนวสุขภาพ เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักหั่นแท่ง ผลไม้สด เป็นต้น
การที่ไม่มีลิมิตของการกิน คนที่กินจุกจิก กินนอกมื้อเก่งอยู่แล้วก็จะยิ่งห้ามใจตัวเองไม่ได้ แถมยังสั่งของในแอปอาหารมาเพิ่ม คุ้ยของในตู้เย็นมาได้ตลอดเวลา สุดท้ายก็น้ำหนักพุ่งพรวด อ้วนขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ซึ่งก็จะตามมาด้วยความเสี่ยงน้ำตาลและไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดัน มากันเป็นขบวน!
วิธีแก้ไข : หากเป็นไปได้ ควรกินอาหารบนโต๊ะที่จัดไว้เป็น ' โต๊ะกินข้าว ' ในบ้านเท่านั้น แยกโต๊ะกินข้าวกับโต๊ะทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน และกิน 3 มื้อ ไม่ต้องกินนอกเหนือจากนั้น หมดมื้อหลักคือจบ! แต่ถ้าอดใจไมไหวจริงๆ หิวไม่ไหว เช่นช่วงมีประจำเดือน ก็กินแค่ 2 มื้อย่อย คือช่วงสายกับช่วงบ่าย และควรเป็นอาหารแนวสุขภาพ เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักหั่นแท่ง ผลไม้สด เป็นต้น
5. ชีวิตอยู่ได้ด้วยคาเฟอีน! ดื่ม 'กาแฟ' วนไปทั้งวัน ยิ่งกว่าดื่มน้ำเปล่า
คอกาแฟอย่าเพิ่งร้องโอดโอย! รู้แหละว่าตอนทำงานออฟฟิศ พวกเธอหลายคนก็คงสั่งกาแฟ กดกาแฟจากห้องส่วนกลางมาดื่มเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็คงไม่ได้สั่งเป็น 5-6 แก้วต่อวันแน่ๆ เพราะก็ต้องทำงานทำการ ต้องเดินไปนั่นมานี่ตามเนื้องานอะเนอะ บางทีสั่งไว้วางบนโต๊ะแล้วงานยุ่งทั้งวัน ได้ดื่มจริงๆ ก็ช่วงใกล้เลิกงานแล้ว แต่เมื่อ work from home ไม่ได้มีพื้นที่ไหนให้ทำงานอีกแล้วนอกจากโต๊ะคอมข้างหน้า สายคาเฟอีนมากมายก็หักห้ามใจยาก ดื่มไปเลยรัวๆ
คิดงานไม่ออกก็ขอชงกาแฟ ทะเลาะกับหัวหน้าในไลน์ก็ขอชงกาแฟสงบสติอารมณ์ สุดท้ายคาเฟอีนพุ่งทะลุกระแสเลือด ซึ่งการดื่มกาแฟมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน นอกจากนอนไม่หลับแล้ว อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น กระวนกระวาย ปวดหัว และกระตุ้นโรคทางหัวใจบางชนิดได้ ยังไม่นับโรคอ้วนหรือน้ำตาลในเลือดสูง สำหรับคนที่ดื่มกาแฟใส่นมและน้ำเชื่อมเยอะๆ อีก!
วิธีแก้ไข : ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มใดๆ ที่มีคาเฟอีนหลังบ่าย 3 โมง หากรู้สึกคอแห้งอยากดื่มอะไรสักอย่าง ให้ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง,ชาสมุนไพรไม่มีคาเฟอีน หรือน้ำแช่ผลไม้ ( infused water ) แทน และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อให้คาเฟอีนที่ดื่มไปช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นค่ะ
คิดงานไม่ออกก็ขอชงกาแฟ ทะเลาะกับหัวหน้าในไลน์ก็ขอชงกาแฟสงบสติอารมณ์ สุดท้ายคาเฟอีนพุ่งทะลุกระแสเลือด ซึ่งการดื่มกาแฟมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน นอกจากนอนไม่หลับแล้ว อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น กระวนกระวาย ปวดหัว และกระตุ้นโรคทางหัวใจบางชนิดได้ ยังไม่นับโรคอ้วนหรือน้ำตาลในเลือดสูง สำหรับคนที่ดื่มกาแฟใส่นมและน้ำเชื่อมเยอะๆ อีก!
วิธีแก้ไข : ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มใดๆ ที่มีคาเฟอีนหลังบ่าย 3 โมง หากรู้สึกคอแห้งอยากดื่มอะไรสักอย่าง ให้ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง,ชาสมุนไพรไม่มีคาเฟอีน หรือน้ำแช่ผลไม้ ( infused water ) แทน และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อให้คาเฟอีนที่ดื่มไปช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นค่ะ
6. สภาพแวดล้อมไม่เอื้อ งานหนัก ยิ่งทำยิ่ง ' เครียด ' กว่าอยู่ออฟฟิศอีก
❤ อย่าลืมไลค์และแชร์บทความให้กำลังใจเราด้วยนะคะ ❤

อันดับบทความประจำวัน
(หมวดสุขภาพ)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe