11ความรู้ดึงสติก่อนลดน้ำหนักกับโยโย่เอฟเฟคที่รักษาไม่ได้
Articles health
สุขภาพ

11 ความรู้ "ดึงสติ" ก่อนลดน้ำหนัก ก่อนจะเจอกับโยโย่เอฟเฟคที่รักษาไม่ได้!!

ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จนเป็นสาว(แก่) ดิฉันเป็นเป็นนักเล่นโยโย่เอ็ฟเฟ็กตัวแม่มาตลอดค่ะ เพราะการขาดความรู้ในเรื่องการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง และดิฉันไม่อยากให้น้อง ๆ ต้องมาเผชิญชะตากรรมที่ต้องระวังพุงอยู่ตลอดเวลาแบบดิฉัน


» » - - »
Sistacafe button sharefb
Down

เลือกอ่านตามหัวข้อ

  • [แสดง]
  • [ซ่อน]
    • 1. รู้จักกับ "โยโย่เอฟเฟค" กันก่อนดีกว่า

    • 2. อย่าลดน้ำหนักหากยังไม่บรรลุนิติภาวะ!?!

    • 3. อ้วน หรือ ย้วย

    • 4. ควรทานกี่แคลลอรี่ต่อวัน !!

    • 5. นับแคลอรี่ในแต่ละวัน

    • 6. ออกกำลังกายสิคะ รออะไร

    • 7. แหล่งพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ

    • 8. เข้าใจการออกกำลังกายแบบ "คาร์ดิโอ" หรือ "แอโรบิค"

    • 9. ออกกำลังกายแบบ "เวทเทรนนิ่ง" บ้างอะไรบ้าง

    • 10. อาหารเสริม ?

    • 11. สูตรลดน้ำหนักแบบต่าง ๆ

    • บทความที่เกี่ยวข้อง


    ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จนเป็นสาว(แก่) ดิฉันเป็นเป็นนักเล่นโยโย่เอฟเฟคตัวแม่มาตลอดค่ะ เพราะการขาดความรู้ในเรื่องการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง  และดิฉันไม่อยากให้สาว ๆ ต้องมาเผชิญชะตากรรมที่ต้องระวังพุงอยู่ตลอดเวลาแบบดิฉัน ดังนั้นดิฉันขอเม๊าหมดเปลือกไปเลยค่ะ ก่อนที่ความอยากผอมจะทำลายชีวิตประจำวันของสาว ๆ ลากยาวไปทั้งชีวิต 

    1. รู้จักกับ "โยโย่เอฟเฟค" กันก่อนดีกว่า

    1458796950 yoyo 658x410

    อาการที่น้ำหนักดีดลงดีดขึ้น เราเรียกว่า "yo yo effect" ค่ะ

    Yo-yo Effect  คืออาการที่น้ำหนักของเราดีดขึ้นหลังจากที่เราลดน้ำหนักสำเร็จค่ะ  ซึ่งเป็นผลพวงจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธี  ไม่ใช่แค่การทานยาลดน้ำหนักเท่านั้น การทานอาหารแบบไดเอทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งดแป้ง งดน้ำตาล อดมื้อทานมื้อ หรือลดปริมาณอาหารเหลือเท่าเครื่องเซ่น ก็เป็นสาเหตุค่ะ 

    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น :  ร่างกายของคนเราฉลาดค่ะ มันมีโปรแกรมที่ทำให้เราอยู่รอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ประมาณว่า  ปกติสาว ๆ ทานอาหารใน 2000 kcal ต่อวัน   จากนั้นสาว ๆ เริ่มไดเอ็ดโดยการทาน  500 Kcal ต่อวัน  ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก ราวกับอยู่ในโลกยุคล่มสลายหาของกินไม่ได้   ร่างกายจะเริ่มจดนำการกินนี้  และปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานให้น้อยลงแต่กักตุนเป็นไขมันมากขึ้น  เมื่อสาว ๆ ผอมได้ดั่งใจและกลับมาทานปกติ ชั้นไขมันของสาว ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตัวแทบแตกเลยค่ะ 

    ดังนั้นสูตรอาหารลดน้ำหนัก 3 วัน,  7 วัน,  100 วัน ที่แชร์กันในอินเตอร์เน็ตคือช่องทางหนึ่งสู่การเป็นนักเล่นโยโย่มืออาชีพค่ะ  และโยโย่เอฟเฟคเมื่อเป็นแล้วหายยาก หรือไม่หายเลยนะคะ  ที่น่ากลัวที่สุดคือการกินของเราจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล ดิฉันพูดเลยค่ะ

    2. อย่าลดน้ำหนักหากยังไม่บรรลุนิติภาวะ!?!

    1458804996 blonde cute fistic guy handsome favim.com 247679

    ภาพประกอบไม่ค่อยเกี่ยว แต่เห็นว่าน่ารัก น่ากินดีค่ะ

    อ่านแล้วคงงง ๆ ใช่ไหมคะ ว่ามันเกี่ยวข้องกันได้ยังไง  อันนี้เจ๊ขอเตือนน้อง ๆ ที่อายุยังไม่ 18 ทั้งหลายเลยเลย ว่าถ้าหนูพยายามจะลดน้ำหนักอย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะการควบคุมอาหาร  หนูจะกลายเป็น "ฮอบบิท" นะลูก... แล้วถ้าเบ้าหน้าลูกไม่สวย หนูจะกลายเป็น "กอลั่ม" นะคะ 

    ในช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโต และต้องการอาหารที่เพียงพอค่ะ การลดน้ำหนักจำเป็นต้องลดอาหารด้วย นั่นอาจจะทำให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จากที่ควรจะสูงสวยระหงแบบติช่า The Face จะกลายเตี้ยสั้นเอา  น้ำหนักมันลดกันได้ แต่ความสูงมันต้องไปทำศัลยกรรมนะคะ  ดังนั้นคำนึงถึงอนาคตกันให้ดีค่ะ  

    อยากให้คิดเสียว่าชีวิตช่วงนี้คือช่วงที่ต้องสั่งสมบุญค่ะ ทานโปรตีน ทานผัก หลีกเลี่ยงของทอด ทานแป้งพอประมาณ แล้วออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อหุ่นดี ๆ ในอนาคต เมื่อกลายร่างเป็นสาวเต็มวัยค่ะ  อ่อ! เกือบลืมไป คนสูงลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าคนเตี้ยนะคะ บอกไว้ก่อน!! ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวจะบอกในหัวข้อต่อ ๆ ไปค่ะ

    3. อ้วน หรือ ย้วย

    การทานอาหารที่มากเกินความจำเป็น ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นไปเปลี่ยนเป็นไขมันทั่วร่างกายค่ะ ย้ำว่าทั่วร่างกาย แต่ก็อาจจะไม่ได้สม่ำเสมอนัก แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลค่ะ 

    สาว ๆ บางคนเห็นแขนตัวเองห้อย ๆ  ขาใหญ่ ก็พาลคิดว่าตัวเองอ้วน โหมลดน้ำหนักเกือบตาย แต่หนังตรงนั้นก็ยังห้อยเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะกล้ามเนื้อของเราขาดความแข็งแรงค่ะ ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงไม่สามารถไปแก้ปัญหาในจุดนี้ให้ได้ สิ่งที่ควรทำคือการสร้างกล้ามเนื้อ ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งค่ะ และการเวทเทรนนิ่งก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกค่ะ 

    ดังนั้นเช็คให้ดีค่ะ ว่าจริง ๆ แล้วเราอ้วน หรือย้วย อันนี้ดูได้จากน้ำหนักค่ะ ถ้าน้ำหนักไม่มากเกินไป (ไม่เกิน ส่วนสูง-110) ก็อาจจะเข้าข่ายย้วยค่ะ

    4. ควรทานกี่แคลลอรี่ต่อวัน !!

    1458812237

    กี่แคลลอรี่ก็มาเถอะค่ะที่รัก เตรียมใจเบิร์นไว้แล้ว

    จากที่เราเคยเรียนมาว่า ผู้หญิงต้องการพลังงาน 1,500 kcal ต่อวัน ส่วนผู้ชายต้องการ 2,000 kcal ต่อวัน  ลืมมันไปเลยค่ะ เพราะมันเป็นการประมาณแบบคร่าว ๆ เหมารวม   ความต้องการพลังงานของเราขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย และกิจกรรมที่ทำต่อวันด้วย ถ้าทาน 1,500 kcal แล้วไปวิ่งมาราธอน ก็จองถังออกซิเจนได้เลยค่ะ  เรามาดูการคำนวนดีกว่า 

    1. คำนวณน้ำหนักที่เหมาะสมของตัวเองก่อน 
     น้ำหนักที่โอเค (กก.)  =  ส่วนสูง(เมตร)ยกกำลัง2  x  21
    *สำหรับ 21 สามารถเปลี่ยนเป็น 18.5 - 23.4 ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการผอมมากผอมน้อย   อันนี้เป็นสูตรที่มาจากการกลับการคำนวน BMI ค่ะ

     หรือถ้าขี้เกียจคำนวนก็เบลอ ๆ เป็นค่ามาตรฐานอย่าง
    ส่วนสูง(ซม.) - 110  = น้ำหนักที่คุณคู่ควร (กก.)

    ตัวอย่าง :  แอนนา เบลล์สูง 170 ซม.  น้ำหนักของตุ๊กตาแอนนาเบลคือ 170 -110 = 60 กก. 

    1458813810 1554341 10151916479343597 2101736283 n

    เห็นสมการ แล้วจะเป็นลมค่ะ พูดเลย แต่เรายังต้องคำนวนกันต่อไปนะคะ


    2. คำนวนแคลลอรี่ที่ต้องการต่อวัน จากน้ำหนักที่เราต้องการ


    ชาย = (10 x น้ำหนัก (กก.))    +    (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))     -    (5 x อายุ)   +    5

    หญิง = (10 x น้ำหนัก (กก.))    +   (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))     -    (5 x อายุ)   -   161

    * มันคือการคำนวนโดยสูตร REE (Resting Energy Expenditure) ค่ะ พลังงานพื้นฐานของร่างกายขณะพัก  นั่นหมายความว่ายังไม่จบค่ะ เราต้องเอาค่านี้มาคูณกับกิจกรรมที่ทำอีก ซึ่งในที่นี้เราจะ คูณ 1.2 ซึ่งเป็นค่าของกิจกรรมทำงานออฟฟิศซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง

    ตัวอย่าง 
    แอนนา เบลล์ สูง 170cm.(หุ่นนางแบบสุด ๆ)    ควรจะมีน้ำหนัก 60 กก.  และอายุของนาง 25 ปี

    สูตร    หญิง = (10 x น้ำหนัก (กก.))  + (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร))  -  (5 x อายุ) - 161 

    แทนค่า           (10 x 60) + (6.25x170) - (5x25) - 161   = 1376.5  
                           
    หมายความว่าแค่นอนเฉย ๆ ดิฉันต้องการพลังงาน 1376.5 Kcal ค่ะ แต่ถ้าจะต้องทำงาน ซึ่งก็คือนั่งโต๊ะ เล่นเน็ต ทำงานออฟฟิช ต้อง x 1.2 


    แอนนา เบลล์ต้องการพลังงาน 1376.5x1.2 = 1651.8 Kcal  ค่ะ 


    นี่คือจำนวนแคลลอรี่ที่ดิฉันไม่ควรทานเกินในแต่ละวัน  แต่อย่ามากเกินไปเพราะอาจจะทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟคได้ค่ะ 

    5. นับแคลอรี่ในแต่ละวัน

    1458817926

    เครื่องคิดเลขในมือสั่นไปหมดแล้วค่ะ

    หลาย ๆ ตำราพยายามบอกให้เราอย่าคำนวณแคลอรีเพราะมันดูวิตกจริตเกินไป แต่เอาเข้าจริงมันต้องคำนวณค่ะ เพราะความสำเร็จในการลดน้ำหนักของคนที่ใช้ชีวิตปกติไม่ใช่นักกีฬาอย่างเรา ๆ ขึ้นอยู่กับอาหารถึง 80% ทีเดียว 

    การนับแคลลอรี่ไม่จำเป็นต้องเป๊ะค่ะ ขอแค่ประมาณได้ก็พอแล้วค่ะ อาจจะต้องจำตารางแคลอรี่ในช่วงแรก ๆ ซึ่งหาได้จากอินเตอร์เน็ต และที่สำคัญต้องอ่านสลากโภชนาการให้เป็นด้วยค่ะ  

    ข้อสำคัญในการนับแคลอรี่ ไม่ใช่นับว่า 1 วันเราทานได้กี่แคลอรี่นะคะ แต่ให้นับว่า 1 มื้อเราทานได้เท่าไร เช่น เราจะแบ่งอาหารเป็น  3 มื้อ ให้มื้อเช้าสำคัญสุด มื้อเที่ยงรองลงมา และมื้อเย็นเบา ๆ ไปเลย เป็นอัตราส่วน 3:2:1 หรือลองปรับอัตราส่วนตามกิจกรรมที่ทำก็ได้ค่ะ  เพราะอย่าลืมว่าคนเราเมื่อไม่ได้กิจกรรมใด ๆ หรือนอนหลับ อัตราการการใช้พลังงานก็ลดลง ถ้าพลังงานที่ได้รับมากไปมันก็จะเอาไปกักเป็นไขมันค่ะ  เราจึงไม่ควรปล่อยช่องว่างให้ร่างกายได้กระทำการนั้น โดยการใช้พลังงานที่ทานเข้าไปให้หมดค่ะ

    ตัวอย่าง  แอนนา เบลล์ ต้องการแบ่งพลังงานเป็นสัดส่วน 3:2:1 และใน 1 วันต้องได้พลังงาน 1651.8 kcal

    พลังงาน 1  ส่วน   =   1651.8 / 6   = 275.3   
    มื้อเช้า    3  ส่วน   =   275.3 x 3    = 825.9
    มื้อเที่ยง 2  ส่วน   =   275.3 x 2    = 550.6
    มื้อเย็น   1  ส่วน    =  275.3 x 1     = 275.3

    ถ้าแอนนา เบลล์อยากลดน้ำหนัก ต้องจำให้ขึ้นใจ แล้วทำตามสูตรนี้ค่ะ  ไม่ต้องกลัวว่าเราจะกลายเป็นพวกวิตกจริตนะคะ แรก ๆ อาจจะต้องดูตารางแคลอรีแต่เมื่อเริ่มชิน เริ่มจำได้ ก็จะพอกะได้เองค่ะ

    6. ออกกำลังกายสิคะ รออะไร

    บทความที่เกี่ยวข้อง
    Content quotation bg
    Disclaimer : หากมีข้อสงสัย กรุณาติดต่อทีมงานมาที่ [email protected]
    Content quotation bg


    ดาวน์โหลดแอพ
    ดาวน์โหลดแอพดาวน์โหลดแอพ
    Icon ranking

    อันดับบทความประจำวัน

    (หมวดสุขภาพ)

    Variety By SistaCafe

    Icon feature 100x100

    Feature

    กิจกรรม SistaCafe