ตอนนี้ประเทศไทยของเรา เข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ! เรามาดูกันหน่อยดีกว่าหน้าหนาวแบบนี้ มีโรคอะไรที่เราควรระวังบ้าง อย่างน้อยๆ จะได้ดูแลตัวเองได้ทัน ไม่ละเลยจนป่วยไข้

เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. ไข้หวัดใหญ่
2. โรคปอดบวม
3. โรคหัด
4. โรคอุจจาระร่วง
5. ไข้สุกใส
6. โรคผิวหนังแห้ง ลอก และคัน
โควิดก็ต้องระวัง ร่างกายก็ต้องดูแล โอ้ย! ปวดใจ แต่ก็อย่างว่าอะนะ ถึงยังไงก็ละเลยไม่ได้ ณ ตอนนี้ ประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้วเนอะ ว่ากันว่าโรคโควิดจะค่อนข้างอันตรายในช่วงฤดูนี้ ยังไงก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะ แต่ไม่ใช่แค่โควิดค่ะซิส ที่เราควรระวัง โรคอื่นๆ ที่มาพร้อมกับลมหนาว ก็ต้องระวังด้วย ซึ่งเท่าที่เราไปอ่านมานั้น โรคที่มาพร้อมกับหน้าหนาวมีประมาณ 6 โรค วันนี้เราก็เลยหยิบมาแชร์ พร้อมบอกอาการ สาเหตุ และวิธีการป้องกัน เพื่อนๆ จะได้ดูแลตัวเองกันได้อย่างตรงจุด สุขภาพจะได้แข็งแรงตลอดหน้าหนาวเนอะ จะมีโรคอะไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ
1. ไข้หวัดใหญ่
อาการ : โรคหวัดธรรมดาก็ว่าน่ากลัวแล้วนะ นี่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่อะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วป่ะ โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส “อินฟลูเอนซา” (Influenza virus) ทางระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้เรามีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นสูง เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและศีรษะอย่างรุนแรง บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรวมอยู่ด้วยก็ได้
วิธีรักษา : ขั้นเบสิคที่สุดเลยคือ ดื่มน้ำให้เยอะๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ที่สำคัญที่สุดคือ เช็ดตัวทุกชั่วโมงด้วยน้ำอุ่น แล้วกินยาลดไข้ตามปกติ แต่ถ้าร่างกายไม่ฟื้นตัว กินยาลดไข้แล้ว ไข้ไม่ลด แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ทันที! เพื่อตรวจเช็คอาการที่แน่ชัดและจะได้รักษาได้ทันทวงทีนะจ๊ะ
วิธีป้องกัน : วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้คือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ค่ะ ซึ่งเราว่าทุกคนก็น่าจะฉีดกันหมดทุกคนอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้คือ งดการใช้ของร่วมกับคนอื่นไปก่อนเลย เพราะเราไม่รู้ว่าใครป่วยไม่ป่วย ทำแบบนี้จะได้ช่วยป้องกันตัวเองได้ด้วย แล้วอย่าลืมหมั่นล้างมือให้สะอาด แถมช่วงนี้ก็รณรงค์ให้ใส่แมสกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าละเลยกันนะ
วิธีรักษา : ขั้นเบสิคที่สุดเลยคือ ดื่มน้ำให้เยอะๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ที่สำคัญที่สุดคือ เช็ดตัวทุกชั่วโมงด้วยน้ำอุ่น แล้วกินยาลดไข้ตามปกติ แต่ถ้าร่างกายไม่ฟื้นตัว กินยาลดไข้แล้ว ไข้ไม่ลด แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ทันที! เพื่อตรวจเช็คอาการที่แน่ชัดและจะได้รักษาได้ทันทวงทีนะจ๊ะ
วิธีป้องกัน : วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้คือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ค่ะ ซึ่งเราว่าทุกคนก็น่าจะฉีดกันหมดทุกคนอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้คือ งดการใช้ของร่วมกับคนอื่นไปก่อนเลย เพราะเราไม่รู้ว่าใครป่วยไม่ป่วย ทำแบบนี้จะได้ช่วยป้องกันตัวเองได้ด้วย แล้วอย่าลืมหมั่นล้างมือให้สะอาด แถมช่วงนี้ก็รณรงค์ให้ใส่แมสกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าละเลยกันนะ
2. โรคปอดบวม
อาการ : โรคปอดบวม คือภาวะปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส จนทำให้มีหนองและสารปนเปื้อนภายในถุงลม เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวมากๆ คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการไอ จาม มีเสมหะมาก ทั้งยังรู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก คัดจมูก หนาวสั่น มีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าปุบปับจะเป็นกันได้เลยนะ โรคนี้มักจะเป็น หลังจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรัง และในผู้ป่วยโรคหอบหืด ส่วนใหญ่มักจะพบในกลุ่มผู้สูงอายุ และเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 - 10 ปี
วิธีรักษา : จริงๆ แล้ว ไม่สามารถรักษาด้วยตัวเองเบื้องต้นได้นะ หากพบว่ามีอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งหากคุณหมอตรวจพบว่าเราเป็นโรคนี้ เขาก็จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะ ควบคู่ไปกับยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และยาขยายหลอดลมด้วย พร้อมกับมีคำแนะนำต่างๆ ให้กับผู้ป่วยโดยเฉพาะค่ะ
วิธีป้องกัน : เนื่องจากอาการนี้ มักเกิดหลังจากที่เราเป็นไข้หวัด เพราะงั้น เมื่อเพื่อนๆ รู้ตัวว่าเป็นไข้หวัด ให้รีบรับการรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน พยายามดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทสะดวกและหมั่นรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย สำหรับใครที่มีลูกเด็กเล็กแดง ก็อย่าลืมพาไปฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวมด้วยนะ
วิธีป้องกัน : เนื่องจากอาการนี้ มักเกิดหลังจากที่เราเป็นไข้หวัด เพราะงั้น เมื่อเพื่อนๆ รู้ตัวว่าเป็นไข้หวัด ให้รีบรับการรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน พยายามดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทสะดวกและหมั่นรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย สำหรับใครที่มีลูกเด็กเล็กแดง ก็อย่าลืมพาไปฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวมด้วยนะ
3. โรคหัด
อาการ : โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า "รูบีโอราไวรัส" (Rubeola virus) ส่วนใหญ่จะพบในเด็กเล็ก อาการจะคล้ายๆ กับไข้หวัดเลยค่ะ มีไข้ มีน้ำมูก มักไอแห้งตลอดเวลา ตาและจมูกแดง อาจจะทำให้เรามีไข้สูงประมาณ 3 - 4 วัน จากนั้นก็จะมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายของเรา โดยผื่นจะค่อยๆ โตขึ้นและมีสีเข้มขึ้น ซึ่งอาการที่เราสามารถสังเกตได้ว่า คนคนนี้จะเป็นหัด อย่างแรกเลย ผู้ป่วยจะมีตุ่มใสๆ ขึ้นในปาก ตรงกระพุ้งแก้มและฟันกราม ซึ่งเป็นตุ่มที่เกิดเฉพาะในโรคหัดเท่านั้น หลังจากผื่นออกประมาณ 2 - 3 วัน อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และหายได้เอง อาจจะดูไม่น่ากลัวใช่มั้ย แต่ต้องระวังพวกโรคแทรกซ้อนกันให้ดีๆ เลยนะ อันตรายมาก
วิธีรักษา : โรคหัดไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย ปัจจุบันนี้มีวัคซีนฉีดป้องกันแล้วนะ (เป็นวัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือสามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน) ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้นะคะ วิธีรักษาขั้นพื้นฐานเลยคือ ทานยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วอาการทุกอย่างมันจะทุเลาไปเอง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที!
วิธีรักษา : โรคหัดไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย ปัจจุบันนี้มีวัคซีนฉีดป้องกันแล้วนะ (เป็นวัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือสามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน) ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้นะคะ วิธีรักษาขั้นพื้นฐานเลยคือ ทานยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วอาการทุกอย่างมันจะทุเลาไปเอง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที!
วิธีป้องกัน : ด้วยความที่โรคหัดติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเด็กช่วงอายุ 5 - 9 ปี เพราะงั้นดูแลหนูๆ กันให้ดีๆ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรฉีดวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมันและคางทูมซะ ก็จะช่วยป้องกันโรคหัดได้
4. โรคอุจจาระร่วง
อาการ : โรคอุจจาระร่วงที่ว่านี้ สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส “โรต้า” (Rotavirus) ส่วนใหญ่มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยกลุ่มที่พบบ่อยที่สุดคือ เด็กอายุ 6 - 12 เดือน อาจจะเพราะเด็กนั้นมีภูมิต้านทานที่ต่ำและมักมีพฤติกรรมชอบหยิบของเข้าปากมั่วไปหมด เพราะฉะนั้นผู้ปกครองต้องดูแลลูกหลานให้ดีๆ นะ
ซึ่งอาการของโรคนี้ จะมีไข้ ถ่ายเหลวและอาเจียนอย่างหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิตได้ เพราะงั้นหากพบว่าลูกหลานเรามีอาการดังกล่าว ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที!
วิธีรักษา : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรต้าไวรัสแล้วนะ ยังไงก็พาเด็กไปรับวัคซีนซะ เด็กสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และลดความรุนแรงลงได้ ทั้งนี้ เราแนะนำว่า อย่าพยายามยื้ออาการด้วยตัวเอง หากพบว่าลูกหลานมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษานะคะ
วิธีป้องกัน : นอกจากรับวัคซีนแล้ว อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาสุขอนามัยภายในบ้านด้วยนะ เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบหยิบของนู่นนี่นั่นเข้าปากไง ดังนั้นผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องระวังในจุดนี้ให้มากๆ เพื่อป้องกันเด็กหยิบจับสิ่งของแล้วติดเชื้อ ที่สำคัญคือหมั่นล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัดหรือย่านชุมชน ก็จะช่วยป้องกันโรคได้ส่วนหนึ่งแล้วค่ะ
ซึ่งอาการของโรคนี้ จะมีไข้ ถ่ายเหลวและอาเจียนอย่างหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิตได้ เพราะงั้นหากพบว่าลูกหลานเรามีอาการดังกล่าว ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที!
วิธีรักษา : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรต้าไวรัสแล้วนะ ยังไงก็พาเด็กไปรับวัคซีนซะ เด็กสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และลดความรุนแรงลงได้ ทั้งนี้ เราแนะนำว่า อย่าพยายามยื้ออาการด้วยตัวเอง หากพบว่าลูกหลานมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษานะคะ
วิธีป้องกัน : นอกจากรับวัคซีนแล้ว อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาสุขอนามัยภายในบ้านด้วยนะ เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบหยิบของนู่นนี่นั่นเข้าปากไง ดังนั้นผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องระวังในจุดนี้ให้มากๆ เพื่อป้องกันเด็กหยิบจับสิ่งของแล้วติดเชื้อ ที่สำคัญคือหมั่นล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัดหรือย่านชุมชน ก็จะช่วยป้องกันโรคได้ส่วนหนึ่งแล้วค่ะ
5. ไข้สุกใส
อาการ : โรคนี้เป็นอีกหนึ่งโรคที่มักระบาดในหน้าหนาว เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส "วาริเซลลา" (Varicella virus) ซึ่งสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง หรือจากการสัมผัสจากของใช้ของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำเข้าไป
โรคนี้ มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี อาการแรกเริ่ม จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่เลยค่ะ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่จะต่างกันตรงที่ พวกเขาจะมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย มีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้นจะแห้งและตกสะเก็ดภายใน 5 - 10 วัน และอาการไข้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
วิธีรักษา : จริงๆ แล้วต้องรักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ ก็กินยาลดไข้ ที่สำคัญคืองดใช้ของร่วมกับคนอื่นด้วยนะ ห้ามแคะแกะเกาบริเวณตุ่มเด็ดขาด! เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็นได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรอก เพราะอาการไม่ได้ร้ายแรงมากมายนัก แถมไม่ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนด้วย สามารถทุเลาลงเองได้ค่ะ
วิธีป้องกัน : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสแล้ว ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้เลย สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้ ก็สามารถไปฉีดป้องกันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่สำคัญคือโรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก ผ่านการสัมผัส เพราะฉะนั้นเมื่อพบผู้ที่เป็นโรคนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน หรือสัมผัสถูกตัว แต่ถ้าใครเคยเป็นโรคนี้แล้ว ว่ากันว่าจะไม่เป็นซ้ำอีก เพราะงั้นคนที่เคยเป็นแล้ว สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ป่วยได้ปกติเลยค่ะ แต่ยังไงก็เว้นระยะห่างสักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ
โรคนี้ มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี อาการแรกเริ่ม จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่เลยค่ะ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่จะต่างกันตรงที่ พวกเขาจะมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย มีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้นจะแห้งและตกสะเก็ดภายใน 5 - 10 วัน และอาการไข้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
วิธีรักษา : จริงๆ แล้วต้องรักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ ก็กินยาลดไข้ ที่สำคัญคืองดใช้ของร่วมกับคนอื่นด้วยนะ ห้ามแคะแกะเกาบริเวณตุ่มเด็ดขาด! เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็นได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรอก เพราะอาการไม่ได้ร้ายแรงมากมายนัก แถมไม่ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนด้วย สามารถทุเลาลงเองได้ค่ะ
วิธีป้องกัน : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสแล้ว ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้เลย สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้ ก็สามารถไปฉีดป้องกันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่สำคัญคือโรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก ผ่านการสัมผัส เพราะฉะนั้นเมื่อพบผู้ที่เป็นโรคนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน หรือสัมผัสถูกตัว แต่ถ้าใครเคยเป็นโรคนี้แล้ว ว่ากันว่าจะไม่เป็นซ้ำอีก เพราะงั้นคนที่เคยเป็นแล้ว สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ป่วยได้ปกติเลยค่ะ แต่ยังไงก็เว้นระยะห่างสักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ
6. โรคผิวหนังแห้ง ลอก และคัน
❤ อย่าลืมไลค์และแชร์บทความให้กำลังใจเราด้วยนะคะ ❤

อันดับบทความประจำวัน
(หมวดสุขภาพ)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe