เช้าอีกละ กิจวัตรเดิมๆ งานก็หนัก เพื่อนร่วมงานก็น่าเบื่อ ทำไปก็ไม่โต แบบนี้เขาเรียกว่าอาการ 'ไฟมอด' หรือ burnout ค่ะซิส ถ้าเริ่มรู้สึกเอ๊ะๆ ว่าตัวเองกำลังหมดไฟหรือเปล่า มาเช็คสัญญาณในบทความนี้ เพื่อกลับมาเติมไฟให้มีความสุขกว่าเดิมกันเถอะ!

เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ >> เสียความมั่นใจ
2. มองโลกในแง่ร้าย หดหู่ เศร้าหมอง คิดอะไรในแง่ลบตลอด
3. คิดว่าตัวเอง 'ขาดอะไรไปสักอย่าง' ไม่รู้สึกถูกเติมเต็มในชีวิต
4. นอนไม่ค่อยหลับ คุณภาพการนอนค่อนข้างแย่-แย่มาก
5. ระแวง ตัวสั่น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
6. อารมณ์เสียบ่อย ปรื๊ดแตกง่าย เรื่องนิดเดียวก็โมโหได้
7. เหนื่อยล้า รู้สึกไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นจากเตียง
สวัสดีค่าาา สาวๆ SistaCafe คน ( เคย ) ขยันทั้งหลาย
วัยทำงานน่ะนะ ใหม่ๆ ก็ไฟแรงแหละ! เพิ่งจบใหม่ เข้าทำงานที่แรกก็มีอะไรให้เรียนรู้ ให้ลองทำนู่นนี่เต็มไปหมด สภาพแวดล้อมก็ใหม่ เพื่อนร่วมงานก็ใหม่ มีความสุขจังเลย~ ผ่านไป 2-3 ปี อะไรๆ ก็รู้มาหมดแล้ว เพื่อนก็เก่าไปใหม่มา ไม่ค่อยมีใครสนิทจริงจัง บางทีมีการเมืองในที่ทำงานอีก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายใดๆ เนื้องานก็เดิมๆ เงินเดือนก็ไม่ค่อยขึ้น วงจรชีวิตก็วนลูปเวอร์ๆ ตื่นนอน ไปทำงาน ทำงาน กลับบ้านนอน จนวันนึงก็รู้สึกว่า " เห้ย... วันจันทร์อีกแล้วเหรอ ไม่อยากลุกจากเตียงเลยอะ เบื่อ หายๆ ไปซะทีก็คงดี " ไปออฟฟิศเดี๋ยวนี้ก็ไปหลับ นั่งเหม่อ จนบอสมาสะกิดเรียกบ่อยๆ...
หรือนี่คือสัญญาณของโรคซึมเศร้ากันนะ??
ใจเย็นก่อน! อย่าเพิ่งวินัจฉัยโรคซึมเศร้าด้วยตัวเอง หากยังไม่ได้ไปหาหมอจริงจัง และไม่ได้มีอาการขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ เราว่าเธอกำลังเบื่องาน หมดไฟ หรืออยู่ในภาวะ ' burnout ' มากกว่า อารมณ์ไม้ขีดที่ใช้งานมานาน จนใกล้จะมอดลงนั่นแหละ การทำงานแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือทุ่มเทเยอะเกินไปทั้งโอที ทั้งโปรเจกต์ จนไม่มีเวลาให้ตัวเองพักผ่อน ก็มีสิทธิ์ burnout ด้วยกันทั้งนั้น
ในบทความนี้ เราจะพาสาวๆ ไปสำรวจ 7 สัญญาณของตัวเองว่า กำลังเข้าข่าย ' อยู่ในภาวะหมดไฟ ' หรือไม่ อย่าหลอกตัวเองนะ เอาความเป็นจริง ถ้าไม่โอเคก็อย่าหลอกว่าตัวเองสบายดี ไม่งั้นนานๆ ไป เธออาจต้องไปหาจิตแพทย์จริงๆ ก็ได้ -..- ถ้าเข้าใจแล้วก็เลื่อนลงมาอ่านข้างล่างกันเลย
ในบทความนี้ เราจะพาสาวๆ ไปสำรวจ 7 สัญญาณของตัวเองว่า กำลังเข้าข่าย ' อยู่ในภาวะหมดไฟ ' หรือไม่ อย่าหลอกตัวเองนะ เอาความเป็นจริง ถ้าไม่โอเคก็อย่าหลอกว่าตัวเองสบายดี ไม่งั้นนานๆ ไป เธออาจต้องไปหาจิตแพทย์จริงๆ ก็ได้ -..- ถ้าเข้าใจแล้วก็เลื่อนลงมาอ่านข้างล่างกันเลย
1. ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ >> เสียความมั่นใจ
สัญญาณแรกของการ burnout ที่สาววัยทำงานหลายคนมองข้ามคือ ' ประสิทธิภาพงานต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้ ' ไม่ว่าจะด้วยความคาดหวังที่สูงปรื๊ดของตัวเอง หรือวัดผลได้เป็นรูปธรรมจากค่า KPI ของทีมก็ตาม พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเป้าที่บอสตั้งไว้ซะที ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นหลายๆ ครั้ง หลายๆ เดือนติดต่อกัน ก็ย่อมทำให้ความมั่นใจของเธอลดฮวบ เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าเราผิดตรงไหน จนถึงจุดนั้นก็จะตัดสินใจ ' เท ' ในเมื่อทำงานได้ไม่ดี ก็ไม่ทำมันเสียเลยก็แล้วกัน ยังไงสักวันก็คงโดนไล่ออก ค่อยหางานใหม่ทีหลังก็ได้!!! //มีคนคิดแบบนี้จริงนะทำเป็นเล่นไป
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : หากเธอทำงานมาสักพักแล้ว บางทีความรู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้นสมัยเป็นเด็กใหม่ มันก็จางหายไปตามกาลเวลาเนอะ ลองคิดย้อนไปถึงโมเมนต์นั้น ความคิดความฝันช่วงนั้น ว่าตอนนั้นเธอต้องการอะไร อยากเป็นคนแบบไหน อยากขึ้นไปตำแหน่งอะไร แล้วกลับไปเป็นเด็กใหม่ไฟแรงคนนั้นอีกครั้งดูสิคะ!
ถ้าที่ทำงานเดิมยังมีที่ให้ไปต่อ ก็เริ่มทำแพลนทำงานใหม่ๆ ให้ตัวเอง ถ้าเป็นงานประเภทให้อิสระพนักงาน ก็ขอเข้าไปเสนอโปรเจกต์ใหม่ๆ ขอลองไปฝึกงานแผนกอื่นดู เธออาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ ให้หัวเฟรชมากขึ้น แต่ถ้าที่นี่ถึงทางตันแล้ว คิดยังไงก็คงไปไม่ได้ไกลกว่านี้ อาจถึงเวลาที่เธอต้องหางานใหม่แล้วก็ได้นะ
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : หากเธอทำงานมาสักพักแล้ว บางทีความรู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้นสมัยเป็นเด็กใหม่ มันก็จางหายไปตามกาลเวลาเนอะ ลองคิดย้อนไปถึงโมเมนต์นั้น ความคิดความฝันช่วงนั้น ว่าตอนนั้นเธอต้องการอะไร อยากเป็นคนแบบไหน อยากขึ้นไปตำแหน่งอะไร แล้วกลับไปเป็นเด็กใหม่ไฟแรงคนนั้นอีกครั้งดูสิคะ!
ถ้าที่ทำงานเดิมยังมีที่ให้ไปต่อ ก็เริ่มทำแพลนทำงานใหม่ๆ ให้ตัวเอง ถ้าเป็นงานประเภทให้อิสระพนักงาน ก็ขอเข้าไปเสนอโปรเจกต์ใหม่ๆ ขอลองไปฝึกงานแผนกอื่นดู เธออาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ ให้หัวเฟรชมากขึ้น แต่ถ้าที่นี่ถึงทางตันแล้ว คิดยังไงก็คงไปไม่ได้ไกลกว่านี้ อาจถึงเวลาที่เธอต้องหางานใหม่แล้วก็ได้นะ
2. มองโลกในแง่ร้าย หดหู่ เศร้าหมอง คิดอะไรในแง่ลบตลอด
สัญญาณที่สอง อันนี้น่าจะเกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวของเธอโดยตรง คือธรรมชาติเป็นคนคิดลบอยู่แล้ว แม้ประสิทธิภาพในการทำงานจะดีเลิศเลอเพอร์เฟกต์ บอสชมในที่ประชุมทุกเดือนขนาดไหน เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี แค่นี้ก็ชมแล้วเหรอ หรือที่จริงบอสแกล้งชมใช่ไหม ( เป็นงั้นไป ) หรือบางทีแพลนก็ดีอยู่แล้ว แค่เพื่อนในทีมตำหนิว่าเออ มันมีจุดด้อยตรงนี้นะ เพิ่มตรงนี้หน่อยไหม ก็รู้สึกแย่ หมดกำลังใจจะทำต่อ บางคนก็ฉีกทิ้งทำใหม่อีกรอบเลย บางคนหาว่าเพื่อนร่วมงานอิจฉาก็มี ความ perfecionist อะเนอะ ยิ่งทำใหม่ก็ยิ่งกินพลังงาน ไปๆ มาๆ ก็เกิดภาวะ burnout คิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป ฮือออ TT
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : ง่ายๆ เลย ลองใจดีกับตัวเองให้มากขึ้นค่ะ! ไม่มีใครในโลกนี้จะทำทุกอย่างได้ดังใจตัวเอง 100% หรอก มันต้องมีรูรั่ว จุดด้อยอะไรสักอย่างอยู่เสมอแหละ หรือถึงคิดว่างานตัวเองดีแค่ไหน เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้าอยู่ดี แค่เราทำในแบบของตัวเอง ตามมาตรฐานงานคุณภาพอย่างดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว อย่าโทษตัวเอง อย่าใจร้ายกับตัวเองนักเลย ปล่อยให้สมองได้พัก เอาเวลาทำงานไปพักผ่อน กินขนม ดูหนังบ้าง หัวจะได้ปลอดโปร่งมากขึ้น
มีทริคง่ายๆ มาฝาก หากคิดลบมานาน ไม่รู้จะเริ่มคิดบวกจากตรงไหน ต่อไปนี้ ถ้าเธอคิดอะไรแวบแรกในหัว ให้เปลี่ยนเป็นความคิดตรงกันข้ามทันที งงมะ เช่น ถ้าเธอกำลังเริ่มคิดลบว่า " มันอิจฉาฉันอยู่แน่ๆ มันด่าฉันชัวร์ " ก็เปลี่ยนเป็น " เขาคงคิดดีกับเราแหละ ถึงติชมบอกข้อเสียให้เรารู้ งานเราจะได้เพอร์เฟกต์ไง " ช่วงแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ชิน แต่เมื่อชินแล้วเชื่อเถอะว่า เธอจะมองโลกใบนี้ด้วยรอยยิ้มมากกว่าเก่ามากๆ เลยล่ะค่ะ
มีทริคง่ายๆ มาฝาก หากคิดลบมานาน ไม่รู้จะเริ่มคิดบวกจากตรงไหน ต่อไปนี้ ถ้าเธอคิดอะไรแวบแรกในหัว ให้เปลี่ยนเป็นความคิดตรงกันข้ามทันที งงมะ เช่น ถ้าเธอกำลังเริ่มคิดลบว่า " มันอิจฉาฉันอยู่แน่ๆ มันด่าฉันชัวร์ " ก็เปลี่ยนเป็น " เขาคงคิดดีกับเราแหละ ถึงติชมบอกข้อเสียให้เรารู้ งานเราจะได้เพอร์เฟกต์ไง " ช่วงแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ชิน แต่เมื่อชินแล้วเชื่อเถอะว่า เธอจะมองโลกใบนี้ด้วยรอยยิ้มมากกว่าเก่ามากๆ เลยล่ะค่ะ
3. คิดว่าตัวเอง 'ขาดอะไรไปสักอย่าง' ไม่รู้สึกถูกเติมเต็มในชีวิต
สัญญาณที่สาม ขออ้างอิงถึงความต้องการพื้นฐานทางจิตวิทยาของมนุษย์สักนิด เมื่อเราถูกเติมเต็มด้วยปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัยในชีวิตแล้ว สเต็ปต่อมาคือเราต้องการ ' การยอมรับจากผู้อื่น ' และ ' การรู้สึกถูกเติมเต็ม เป็นส่วนหนึ่งของอะไรสักอย่าง ' ซึ่งในบรรยากาศออฟฟิศที่เคร่งๆ หรือมีแต่การแข่งขันของเพื่อนร่วมงาน ก็ไม่แปลกที่สาวๆ หลายคนจะรู้สึกเหนื่อย อ้างว้าง เครียด ไม่มีกลุ่มแก๊ง โดดเดี่ยว ยิ่งถ้างานปัจจุบันไม่ใช่สายงานที่เธอชอบด้วยแล้วล่ะก็ ภาวะ burnout มาแน่นอน แค่จะมาช้าหรือเร็วเท่านั้นเองค่ะ
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : เข้าพบหัวหน้าทีมแบบ 1-1 แล้วอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ค่ะ แม้หัวหน้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แบบ 100% แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับฟังปัญหา และอาจเสนอวิธีแก้ไขที่ดีกว่าเธอไปนั่งคิดหัวแตกอยู่คนเดียว หัวหน้าอาจเสนอให้เธอลองทำงานใหม่ๆ หรือตั้งค่า KPI ใหม่ที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น ทำให้เธอรู้สึกกลมกลืนกับบริษัทนี้ได้มากขึ้นค่ะ
ในทางกลับกัน ถ้าหัวหน้าไม่รับฟังปัญหาลูกน้อง ปล่อยไปตามยถากรรมแถมด่าเธอซ้ำ โดยไม่มีคำแนะนำให้พัฒนาตัวเอง รีบถอยออกมาหางานใหม่ด่วนๆ จะดีกว่า เพราะถึงเธอเป็นคนเก่ง หัวหน้าทัศนคติแบบนี้ก็ไม่น่าร่วมงานด้วยอยู่ดีค่ะ
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : เข้าพบหัวหน้าทีมแบบ 1-1 แล้วอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ค่ะ แม้หัวหน้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แบบ 100% แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับฟังปัญหา และอาจเสนอวิธีแก้ไขที่ดีกว่าเธอไปนั่งคิดหัวแตกอยู่คนเดียว หัวหน้าอาจเสนอให้เธอลองทำงานใหม่ๆ หรือตั้งค่า KPI ใหม่ที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น ทำให้เธอรู้สึกกลมกลืนกับบริษัทนี้ได้มากขึ้นค่ะ
ในทางกลับกัน ถ้าหัวหน้าไม่รับฟังปัญหาลูกน้อง ปล่อยไปตามยถากรรมแถมด่าเธอซ้ำ โดยไม่มีคำแนะนำให้พัฒนาตัวเอง รีบถอยออกมาหางานใหม่ด่วนๆ จะดีกว่า เพราะถึงเธอเป็นคนเก่ง หัวหน้าทัศนคติแบบนี้ก็ไม่น่าร่วมงานด้วยอยู่ดีค่ะ
4. นอนไม่ค่อยหลับ คุณภาพการนอนค่อนข้างแย่-แย่มาก
สัญญาณที่สี่ เชื่อว่าสาวออฟฟิศในเมืองเกินครึ่งเป็นอยู่แต่ไม่รู้ตัว! ด้วยเนื้องานบางอย่างต้องเอากลับมาคิดต่อที่บ้าน เช่น งานสายครีเอทีฟ งานสื่อต่างๆ ที่กำหนดเวลาเดตไลน์ไม่แน่นอน บางทีนั่งคิดงานจนดึกดื่น ตีสองตีสามยังไม่ได้นอน แต่ต้องตื่นไปพรีเซนต์งานตอนเจ็ดโมงเช้า ไม่เคยนอนพอสักคืน คุณภาพการนอนคือพังมาก มันจะส่งผลต่อคุณภาพงานแน่นอน! มีงานวิจัยเผยแล้วว่า แค่อดนอนจากเดิมไม่กี่ชั่วโมง ก็ทำให้สมรรถภาพการทำงาน และสภาพจิตใจของเราเสื่อมลงแล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อเนื่องหลายๆ ปี.... ไม่อยากจะคิดเลยค่ะ มันแย่กว่า burnout หลายเท่าแน่นอน
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : ต้องจริงจังกับการนอนซะทีแล้วค่ะซิสขา! จากที่ปล่อยตัวเองตามเรื่องตามราว นอนกี่ชั่วโมงก็ได้ อดนอนเป็นประจำ เธอต้องเริ่มเซ็ตเวลาตื่น เวลานอนให้ชัดเจน และทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด เลิกเล่นโซเชียลก่อนนอน ปิดแสง blue light ไม่ควรนอนต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณภาพการนอนที่ดีที่สุดค่ะ!
แรกๆ อาจจะนอนไม่หลับ ก็ใช้ม่านกันแสง ดื่มนมอุ่นๆ เปิดเพลงคลอๆ ช่วยก็ทำให้เคลิ้มได้ หรือถ้าหลับยาก วิตามินเสริมอย่างเมลาโทนินก็เป็นทางเลือกที่ดี ยิ่งอายุมากขึ้น การอดนอนจะยิ่งบ่อนทำลายสุขภาพทั้งกายและจิตของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าจะแก่ก่อนวัย สมองจะเบลอ เอ๋อ เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น! ทำงานแทบตาย สุดท้ายเอามาจ่ายให้หมอ ถามตัวเองซิว่าคุ้มมั้ย?
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : ต้องจริงจังกับการนอนซะทีแล้วค่ะซิสขา! จากที่ปล่อยตัวเองตามเรื่องตามราว นอนกี่ชั่วโมงก็ได้ อดนอนเป็นประจำ เธอต้องเริ่มเซ็ตเวลาตื่น เวลานอนให้ชัดเจน และทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด เลิกเล่นโซเชียลก่อนนอน ปิดแสง blue light ไม่ควรนอนต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณภาพการนอนที่ดีที่สุดค่ะ!
แรกๆ อาจจะนอนไม่หลับ ก็ใช้ม่านกันแสง ดื่มนมอุ่นๆ เปิดเพลงคลอๆ ช่วยก็ทำให้เคลิ้มได้ หรือถ้าหลับยาก วิตามินเสริมอย่างเมลาโทนินก็เป็นทางเลือกที่ดี ยิ่งอายุมากขึ้น การอดนอนจะยิ่งบ่อนทำลายสุขภาพทั้งกายและจิตของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าจะแก่ก่อนวัย สมองจะเบลอ เอ๋อ เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น! ทำงานแทบตาย สุดท้ายเอามาจ่ายให้หมอ ถามตัวเองซิว่าคุ้มมั้ย?
5. ระแวง ตัวสั่น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สัญญาณที่ห้า ที่จริงก็คล้ายๆ กับทัศนคติคิดลบที่บอกไปในข้อบนๆ นั่นแหละ แต่บางคนเขาไม่ได้แค่คิดลบธรรมดา แต่มีความกลัว ระแวงกับสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ฟีลลิ่งเวลาออกไปพรีเซนต์นอกห้องเรียน แล้วเราจะตื่นเต้นจนตัวสั่น แต่สำหรับบางคน ความรู้สึกนี้จะมีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นวัยทำงานที่เครียดกว่า ยิ่งหวาดกลัว เครียดกว่าเดิมเป็นทวีคูณ จนบางทีกระทบกิจวัตรในชีวิตประจำวันไปโดยสิ้นเชิง จะไปกินข้าวกับเพื่อน จะเดทกับแฟนก็ยังห่วงแต่เรื่องงาน กลัวโดนบอสคอมเมนต์ไม่ดี บางคนตื่นตระหนกมากๆ ถึงกับต้องกินยาระงับประสาทก็มี ซึ่งอาการแบบนี้ burnout จะมาเยี่ยมในไม่ช้า
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : เพราะความหวาดกลัวแองแฝงอยู่ภายในจิตใจ สิ่งที่จะช่วยได้คือการตั้งสติ นั่งสมาธิค่ะ! เอ้าอย่าเพิ่งขำ การฝึกสูดหายใจลึกๆ อย่างมีคุณภาพเนี่ย ช่วยลดอาการตื่นตระหนกได้เยอะเลยนะ จะฝึกที่บ้านหรือที่ทำงานก็ได้ เวลารู้สึกกลัว ตื่นเต้นมากๆ จนตัวสั่น ให้ปิดตา สูดหายใจลึกๆ 10 ครั้งช้าๆ ควบคุมจังหวะการหายใจเข้าออก ฝึกให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี
การนวดผ่อนคลายในสปา เช่น การนวดคอ นวดตัวอโรม่าก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่นกัน ใครไม่เคยนวดมาก่อนจนหัวตึง บ่าตึง หลังเจ็บไปหมด ลองนัดคิวนวดสปาดีๆ สักครั้ง แล้วสาวซิสจะรู้สึกตัวเบาหวิว สบายใจ จนติดใจว่าทำไมไม่มาทำตั้งนานแล้ว คอนเฟิร์ม!
วิธีจุดไฟให้ตัวเองอีกครั้ง : เพราะความหวาดกลัวแองแฝงอยู่ภายในจิตใจ สิ่งที่จะช่วยได้คือการตั้งสติ นั่งสมาธิค่ะ! เอ้าอย่าเพิ่งขำ การฝึกสูดหายใจลึกๆ อย่างมีคุณภาพเนี่ย ช่วยลดอาการตื่นตระหนกได้เยอะเลยนะ จะฝึกที่บ้านหรือที่ทำงานก็ได้ เวลารู้สึกกลัว ตื่นเต้นมากๆ จนตัวสั่น ให้ปิดตา สูดหายใจลึกๆ 10 ครั้งช้าๆ ควบคุมจังหวะการหายใจเข้าออก ฝึกให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี
การนวดผ่อนคลายในสปา เช่น การนวดคอ นวดตัวอโรม่าก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่นกัน ใครไม่เคยนวดมาก่อนจนหัวตึง บ่าตึง หลังเจ็บไปหมด ลองนัดคิวนวดสปาดีๆ สักครั้ง แล้วสาวซิสจะรู้สึกตัวเบาหวิว สบายใจ จนติดใจว่าทำไมไม่มาทำตั้งนานแล้ว คอนเฟิร์ม!
6. อารมณ์เสียบ่อย ปรื๊ดแตกง่าย เรื่องนิดเดียวก็โมโหได้
❤ อย่าลืมไลค์และแชร์บทความให้กำลังใจเราด้วยนะคะ ❤

อันดับบทความประจำวัน
(หมวดสุขภาพ)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe