รวมเรื่องราวเริ่มต้นความรักของในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระราชินีตัั้งแต่แรกพบ

สำหรับในช่วงเวลาของการไว้อาลัยแด่ 'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ' เรามีอีกหนึ่งบทความน้อมรำลึกถึงพระองค์มาฝากชาวซิสต้าคาเฟ่กันค่ะ
เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของพระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ผู้เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

เช่นนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงหมั้นกับม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2492 ประชาชนชาวไทยจึงพากันตื่นเต้นยินดี ยิ่งได้ทราบว่าพระคู่หมั้นทรงมีพระสิริโฉมงดงามและมีพระปรีชาสามารถมาก
และในวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในครั้งนั้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ ครั้งแรก สำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตาม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป

ซึ่งในเวลานั้น สมเด็จพระราชชนนีรับสั่งเป็นพิเศษว่าให้ไปทอดพระเนตรลูกสาวของ ม.จ.นักขัตรมงคลด้วยว่า “สวยน่ารักไหม” และยังทรงกำชับว่า “เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทรบอกแม่ด้วย” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินถึงปารีสแล้ว จึงโทรศัพท์ตอบคำถามสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า
“เห็นแล้ว น่ารักมาก”

“สำหรับข้าพเจ้า เป็นการเกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า จะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงแล้ว เสด็จมาถึง 1 ทุ่ม ช้ากว่านัดหมาย ตั้ง 3 ชั่วโมง ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า จึงเป็นการเกลียดเมื่อแรกพบ มากกว่า รักเมื่อแรกพบ”
และทรงเล่าต่อว่า เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่ จึงทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงพระสรวลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า “เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว” สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงกราบบังคมทูลตอบว่า “ที่หน้างอเพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น”

"ก็เพราะดนตรีนี่แหละ ที่ทำให้พระองค์ทรงหมั้น ขณะเสวยพระกระยาหารค่ำอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในปารีสคืนหนึ่ง พระองค์ทรงพบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ผู้ซึ่งขณะนั้นอยู่ในวัย ๑๕ กำลังกำดัด และซึ่งมีความคิดบางอย่างพิสดารอยู่ อาทิเช่น เธอชอบเพลงแบบบีบ๊อพอย่างรุนแรง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเกลียดเพลงบีบ๊อพทรงโต้กับเธออยู่นานตลอดเวลาเสวย แต่ก็ไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนความคิดสำเร็จสุดท้ายพระองค์ทรงขออนุญาต ม.จ.นักขัตรมงคลบิดาของเธอว่า พระองค์จะทรงพาเธอไปฟังออเคสตราบางวงในเมือง เพื่อให้เธอเข้าใจว่า การที่พระองค์ทรงแอนตี้เพลงบีบ๊อพนั้นหมายถึงอะไร"
"เมื่อเธอมาเรียนต่อในไฮสกูลที่โลซานน์ เธอได้มีโอกาสคุ้นเคยกับพระองค์ยิ่งขึ้น และได้เล่นดนตรีร่วมกันบ่อยๆโดยเธอเป็นผู้เล่นเปียโนประกอบ ม.ร.ว.สิริกิติ์ยังคงศรัทธาในเพลงบีบ๊อพอย่างแน่นแฟ้น จึงความคิดเห็นไม่อาจลงรอยกับพระองค์ได้ แต่ก็มีอะไรอย่างอื่นที่พระองค์กับเธอได้ตกลงลงรอยกันแล้ว
เมื่อเดือนกรกฎาคมก่อนพระองค์ทรงขอให้ ม.จ.นักขัตรมงคลเสด็จมาที่โลซานน์ แล้วทรงขอหมั้นกับธิดาของท่าน ในเดือนสิงหาคมพระองค์เสด็จไปลอนดอน ซึ่ง ม.จ.นักขัตรมงคลเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ ณ ที่นั่น และทรงเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ด้วย ซึ่งการหมั้นก็ได้ประกาศขึ้นในงานนี้"

รูปม.ร.ว.สิริกิติ์รูปนั้นเป็นรูปแรกที่ทรงถ่าย ซึ่งเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า “ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ” รูปนั้นทรงตัดเฉพาะหน้าม.ร.ว.สิริกิติ์ไว้ในพระกระเป๋า

ซึ่งตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุ ทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร ตอนเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึงสมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า “ม.ร.ว.สิริกิติ์ เพคะ” พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย…

ต่อมาภายหลังหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ก็ทรงย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ทำให้ในหลวงภูมิพลท่านต้องทรงเดินทางระยะทางกว่า 600 กิโล กว่าที่จะได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์
มีเรื่องเล่าจากบันทึกส่วนพระองค์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ประพันธ์คำร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “เทวาพาคู่ฝัน” และ “อาทิตย์อับแสง”ถวายว่า ในช่วงที่ต่างประทับห่างไกลกันเมื่อต้องทรงจากกันก็เปรียบเหมือน “อาทิตย์อับแสง”และในพระราชหฤทัยของทั้งสองพระองค์ก็คงทรงหวังให้ “เทวาพาคู่ฝัน” มาให้
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2492 ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบ 17 ปี ของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ณ สถานทูตไทยในกรุงลอนดอนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้พระราชทานแหวนซึ่งเป็นวงเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนก เคยประทานให้แก่สมเด็จพระบรมราชชนนีในครั้งอดีตให้แก่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์
ขณะที่ทรงมอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“เป็นของที่มีค่าอย่างยิ่ง และเป็นของที่ระลึกด้วย”

“ต้องทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า
“แต่ในการพบกันครั้งที่สอง ตอนนั้นกลายเป็นความรัก
“ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์ทรงรักข้าพเจ้าเพราะเวลานั้นอายุเพิ่งย่าง 15 ปี
“ตอนประทับอยู่ที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
“แล้วพระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้า พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า”
“ตอนนั้นข้าพเจ้านึกแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น
เรื่อง “ขวัญของชาติ” ออกแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน ถึงความรักของพระองค์ทั้งสอง ให้ประชาชนทุกคนได้รับรู้ถึงเรื่องราวของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์และล้ำค่าค่ะ
“รักแรกพบ” ของ ในหลวง-พระราชินี กับภาพแห่งความทรงจำ
ในหลวงทรงโรแมนติกไหม ?
33 ภาพเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และเรื่องราวความรักของ "ในหลวงและพระราชินี"

อันดับบทความประจำวัน
(หมวดการ์ตูน)
Variety By SistaCafe

Feature
กิจกรรม SistaCafe