เลือกยังไงครีมกันแดดสำหรับสาวหน้าสิวผิวแพ้ง่ายตัวไหนใช้แล้วปัง

ความงาม

เลือกยังไง? 'ครีมกันแดด' สำหรับ สาวหน้าสิว ผิวแพ้ง่าย ตัวไหนใช้แล้วปัง!

ปัญหาหน้าบอบบาง เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย ใช้ครีมกันแดดแบบไหนดีนะ?

Home » ความงาม » Advertorial - วิธีดูแลผิวหน้า - วิธีดูแลผิว » ครีมทาหน้า - ครีมกันแดด - ผิวไหม้แดด - ครีมบำรุงผิว » เลือกยังไง? 'ครีมกันแดด' สำหรับ สาวหน้าสิว ผิวแพ้ง่าย ตัวไหนใช้แล้วปัง!

เลือกอ่านตามหัวข้อ

[แสดง]

[ซ่อน]

มารู้จักกับรังสี UV กันก่อนนะคะสาวๆ
ความแตกต่างระหว่าง ' Physical VS Chemical '
ผลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับสาวๆ ที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย
Smooth-E Physical White Sunscreen SPF 52

สวัสดีค่าาา สาวๆ SistaCafe ทุกคนนน และสวัสดีแดดประเทศไทยด้วย /ปาดเหงื่อ สาบานสิคะว่านี่คือหน้าหนาว เห่นโล้วววว.. ทำไมแดดแรงแบบนี้ล่ะคุ๊ณณณ สงสัยต้องงัดไอเทมเด็ดมาช่วยป้องกันแดดกันหน่อยแล้ว แต่ว่า.. เราเป็นคนผิวบอบบาง แพ้ง่าย ใช้อะไรที่มีสารเคมีแรงๆ บางทีก็ทำให้สิวเห่อขึ้นมาเต็มหน้าเลย สาวๆ หลายคนคงมีปัญหาเหมือนเรา ด้วยความที่หน้ามันเยิ้ม มันวับสู้แดดประเทศไทย ยิ่งใช้ครีมกันแดดเนื้อครีมเหนอะหนะ บวกกับมีสารเคมีแน่น งานนี้มีหวังหน้าพังขายไม่ออกกันพอดี ปัญหาคือจะใช้ครีมกันแดดแบบไหนดีล่ะ? T____T

วันนี้เรามีวิธีเลือกครีมกันแดด ให้เข้ากับสภาพผิวของสาวๆ ที่สำคัญสามารถตอบโจทย์ปัญหาหน้าบอบบาง เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย แถมไม่หมองคล้ำด้วยนะเธ้อออ คราวนี้แหละ! แดดจะแรงแค่ไหนก็สู้ไม่ถอย สวยด้วยสตรองด้วยนะจะบอกให้ ฮิ้ววววว >w<!

มารู้จักกับรังสี UV กันก่อนนะคะสาวๆ

☼ UVA : Aging

ทำร้ายลึกถึงผิวชั้น Dermis เราเรียกกันว่า ผิวหนังชั้นในหรือชั้นหนังแท้ นั่นเอง สร้างปัญหาผิวให้สาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะเจ้ารังสี UV ตัวนี้จะทำลายคอลลาเจน และทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยด้วยอะ น่ากลัวววว

☼ UVB : Burn

ทำร้ายผิวชั้น Epidermis รู้จักกันในชื่อ ผิวหนังชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้า รังสี UV ตัวนี้จะไม่สร้างปัญหาเรื่องริ้วรอยก่อนวัย แต่จะทำให้ผิวของสาวๆ เกิดอาการแสบ ลอก แดง มีกระ มีฝ้า และมีปัญหาผิวหมองคล้ำ ในที่สุด อาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วยนะ! T^T

ภาพตัวอย่างการทำร้ายผิวของ UVA และ UVB

► SPF
คือ ค่าป้องกันแสงแดด โดยค่าเฉลี่ยที่เหมาะกับผิวคนไทยจะอยู่ที่ SPF 15 โดยมีการคำนวณง่ายๆ คือ ถ้าเราใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 52 สามารถป้องกันแสงแดดได้ 52 x 15 = 780 นาที หรือประมาณ 13 ชั่วโมง ก่อนผิวจะไหม้นั่นเองค่าา

► PA +++
คือ ค่าป้องกันรังสี UVA ถ้าครีมกันแดดตัวไหนที่มีค่า PA สูง (PA +++) จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและสีผิวหมองคล้ำได้ค่าาา

dentalest.pl

ความแตกต่างระหว่าง ' Physical VS Chemical '

ก่อนอื่นเลยต้องบอกสาวๆ ก่อนว่า ครีมกันแดดที่เราเห็นทั่วไปนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen หลายคนน่าจะพอเดาออกว่าแบบไหนกันนะ ที่ยิ่งใช้ยิ่งทำร้ายผิวหน้าสวยๆ ของเรา แต่เดี๋ยวเราจะมาอธิบายให้ได้รู้กันแบบชัดๆ ไปเลยว่า ครีมกันแดดทั้ง 2 ประเภทนี้ แตกต่างกันยังไงบ้างน้าาา

☼ Physical Sunscreen หรือ Non Chemical Sunscreen

- ครีมกันแดดประเภท Physical ป้องกันผิวของสาวๆ ได้โดยการสะท้อนและบล็อครังสี UV จากแสงแดดได้ 100% แถมยังมีความคงทนต่อแสงแดดสูง หรือป้องกันผิวจากแสงแดดได้นานนั่นเองค่า

- มีส่วนผสมของสารกรองแสง เรียกว่า Zinc oxide ( ZnO ) เป็นสารที่มีความปลอดภัยและถูกใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในผ้าอ้อมเด็ก และสาร Titanium dioxide ( TiO2 ) หากผู้ใช้มีอาการแพ้ครีมบำรุงหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มาจากธรรมชาติ ( พบได้น้อยมาก ) อาจทำให้มีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้น้าา

- สาร Zinc oxide สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ในส่วนของสาร Titanium dioxide สามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB เช่นกัน แต่สำหรับ UVA หากเวลาผ่านไปอาจจะมีรังสีบางส่วนหลุดรอดมาทำร้ายผิวได้ ที่สำคัญเมื่อทาแล้วก็ออกแดดได้เลยน้าา ไม่ต้องรอด้วย > <

- มีความหนาและสีไม่โปร่งแสงนัก เมื่อทาแล้วอาจจะทำให้สีผิวของหน้าเราค่อนข้างขาวเกินจริง แต่ส่วนใหญ่ครีมกันแดดสมัยใหม่มีการพัฒนาแล้วนะ เป็น Micronized Particle ทำให้ไม่ขาววอก แต่ยังมีประสิทธิภาพในการสะท้อน UV เต็มประสิทธิภาพ สาวผิวแทนอย่างเราๆ ก็ใช้แบบสีเบจที่เหมาะสำหรับคนเอเชียก็ได้ เนื้อครีมก็ล้างออกง้ายง่ายด้วยล่ะ

- ได้รับการรับรองจาก FDA มีความปลอดภัย 100% ไม่ก่อให้เกิด free radical ( อนุมูลอิสระ ตัวการทำให้แก่ก่อนวัยและทำลายเซลล์ผิว )

☼ Chemical Sunscreen

- ครีมกันแดดประเภท Chemical จะดูดซึมรังสี UV จากแสงแดดมากักเก็บไว้ แถมยังมีความคงทนต่อแสงแดดอยู่ในระดับดี-สูง แปลว่าป้องกันแดดได้ไม่นานเท่าไหร่ ควรทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่มีสารกรองแสงบางตัว เช่น Avobenzone ที่ถูกวิจัยว่าป้องกันแดดไม่ได้นาน ต้องนำไปทำงานผสมกับสารตัวอื่นถึงจะได้ผลที่ดีขึ้น และยังต้องทาทิ้งไว้ 20 นาทีก่อนออกแดดด้วยอ่าาา

- ส่วนผสมที่เป็นสารกรองแสง ได้แก่ Octylcrylene, Avobenzone, Octinoxate, Octisalate, Oxybenzone, Homosalate, Helioplex, 4-MBC, Mexoryl SX and XL, Tinosorb S and M, Uvinul T 150 และ Uvinul A Plus สารเคมีเยอะมากกก แน่นอนว่าทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย เข้าตาแค่นิดเดียวก็มีอาการเคืองและแสบได้ ถ้าใครที่แพ้สารเคมีบางชนิด ก็มีสิทธิ์เกิดอาการแพ้รุนแรงได้เลยนะ

- ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เนื้อครีมเหลวคล้ายน้ำ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะครีมกันแดด Chemical บางตัวก็ทาแล้วหน้าขาววอกเหมือนกันนะ ประเด็นอยู่ที่ส่วนผสมล้วนๆ เลยจ้า

- ครีมกันแดดประเภทนี้โดยทั่วไปจะปลอดภัยนะคะ แต่สารบางตัวก็อาจทำให้ระคายเคือง ทำร้ายเซลล์ผิวและมีผลให้มีริ้วรอยก่อนวัยอีก! สาวๆ ใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวไม่ให้หมองคล้ำและป้องกันการแก่ก่อนวัย บอกเลยว่า Chemical Sunscreen ไม่ตอบโจทย์เด้อออ

ภาพตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen

สรุปง่ายๆ เลยก็คือ Physical Sunscreen จะสะท้อนและบล็อคแสงแดด ไม่ทำให้ผิวของสาวๆ หมองคล้ำ สารกรองแสงที่เป็นส่วนผสมมีความปลอดภัยสูง เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้น้อยมาก สามารถอยู่กลางแดดได้เป็นเวลานานกว่า และไม่ต้องทาแล้วรอเวลาก่อนออกไปอยู่กลางแดดด้วยค่า

ส่วน Chemical Sunscreen จะดูดรังสี UV มากักเก็บไว้ไม่ให้ผ่านมาสู่ผิวหนัง แต่ไม่สามารถทนต่อแสงแดดได้นาน จึงจำเป็นต้องทาซ้ำเรื่อยๆ นานเข้าประสิทธิภาพไม่เพียงพอ คราวนี้ความหมองคล้ำจะไปไหนล่ะคะสาวๆ แถมยังทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วยนะ และเมื่อทาแล้วต้องรอประมาณ 20 นาทีถึงจะออกแดดได้น้าา แง้

ผลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับสาวๆ ที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย

จากผลการวิจัยในต่างประเทศ พบว่า สาวๆ ประเทศไทยกว่า 10 ล้านคนจะมีปัญหา หรือมีแนวโน้มผิวบอบบาง แพ้ง่าย เป็นสิวง่าย ซึ่งสาเหตุก็มาจากสภาพแวดล้อมบ้านเมืองเรานี่แหละค่ะ ทั้งมลภาวะทางอากาศ ความร้อน แสงแดด รวมไปถึงการทำทรีทเม้นท์ และยิงเลเซอร์ด้วยนะ

ซึ่งจากผลวิจัย แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ใช้กันแดดที่เป็น 100% Non-Chemical Sunscreen หรือ Physical Sunscreen แบบที่เราอธิบายไปก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ ตอบโจทย์ปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองแน่นอน แล้วปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้าของสาวๆ จะหมดไป ฟันธงงงง! (^0^)ノ